Libertarian Studies's avatar
Libertarian Studies
npub187fs...tz9m
Thai right-libertarian channel advocating for liberty, decentralization, paleocon and laissez-faire.
แนะนำสำหรับคนไทยหลายท่านบน Nostr #Siamstr
มองในแง่หนึ่งนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ก็ไม่ได้ต่างจากนักการเมืองที่พวกเขาด่ามาก กลับกลอกปลิ้นปล้อนเหมือนกัน ถึงขนาดบางคนหมุนตัว 180 องศาไปโจมตีฝั่งตรงข้ามแล้วกลับกลายเป็นพวกสนับสนุนข้อเสนอของนักคิดตลาดเสรีทุนนิยม ทั้งที่ตัวเองเป็น Keynesian, Neo-Keynesian, etc. กันซะส่วนใหญ่ หากจะกล่าวว่าพวกเขาเป็นยังไงอย่างชัดเจนก็ตอบได้เต็มปากว่า "เชียร์ก้าวไกล" และ "ไม่ชอบทักษิณ" พวกนี้บางทีก็น่าเอื้อมระอา ไร้กระดูกสันหลัง
ลงในนี้ก่อนลงในเพจทางเฟซบุ๊กนะครับ
ทำไมสังคมอนาธิปไตยแบบฝ่ายซ้ายถึงไม่มีวันเกิดขึ้นจริง . ลัทธิอนาธิปไตย (anarchism) เป็นกลุ่มความคิดทางการเมืองที่เชื่อว่าต้องไม่มีรัฐที่เป็นผู้ผูกขาดความรุนแรงเหนือพื้นที่แล้วผลักดันสังคมที่ไม่มีสถาบันทางการเมืองและความร่วมมือกันอย่างสมัครใจ บางครั้งคำว่าอนาธิปไตยก็ทำให้หลายคนชวนสับสน แต่เราจำเป็นต้องพูดถึงนิยามของมันตามรากศัพท์และบริบทของกรีก (ใช้จนถึงปัจจุบัน) ก่อน โดยคำว่า anarkhia หมายถึง "ปราศจากรัฐ" (ตามบริบทที่เป็นไม่ใช่ปราศจากผู้นำหรือผู้ปกครอง) โดยมันมีคำว่า an ที่หมายถึง "ปราศจาก" หรือ without ในภาษาอังกฤษ และคำว่า arkhos หมายถึง ผู้นำ หรือ ผู้ปกครอง (ruler) หากกล่าวตามบริบทจริง ๆ มันก็คือรัฐที่เป็นองค์กรเพียงองค์กรเดียวที่สามารถผูกขาดความรุนแรงเหนือพื้นที่ได้ พิจารณานิยามเพิ่มเติมจาก Oxford Dictionary ในคำว่า anarchy มันหมายถึง "สถานการณ์ในประเทศ องค์กรหรืออื่น ๆ ที่ไม่มีรัฐในการควบคุม" หรือนิยามจาก Merriam-webster บอกไว้เหมือนกันว่า "การไม่มีรัฐ" "สภาวะที่ไม่มีกฎเกณ์หรือระเบียบทางการเมืองอันเนื่องมาจากไม่มีผู้มีอำนาจของรัฐ" "สังคมอุดมคติที่มีเสพสุขไปกับเสรีภาพโดยปราศจากรัฐ" "การไม่มีผู้มีอำนาจใด ๆ ที่สร้างระเบียบ" ซึ่งในความหมายใด ๆ ก็ตามคำว่า 'ผู้ปกครอง' 'ผู้มีอำนาจ' 'ผู้นำ' ในแง่บริบทของคำว่าอนาธิปไตยจะหมายถึง "รัฐ" ทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าอนาธิปไตยจะไม่มีผู้นำหรือผู้ปกครอง เพราะในความเป็นจริงไม่ว่าผู้นำ (*ผู้ปกครองในบริบทที่ไม่ใช่รัฐบาล) ระเบียบทางสังคม กฎหมาย ชนชั้น ครอบครัว วัฒนธรรมต่าง ๆ ล้วนแล้วสามารถเกิดขึ้นได้ในสภาวะที่ไม่มีรัฐทั้งหมด . ในหมู่อนาธิปไตยก็มีการแบ่งลัทธิทางความคิดไปเป็น "อนาธิปไตยฝ่ายซ้าย" (left-anarchism) และ "อนาธิปไตยฝ่ายขวา" (right-anarchism) โดยที่อนาธิปไตยฝ่ายซ้ายจะมองว่า รัฐเป็นองค์กรที่ปกป้องดูแลและให้อภิสิทธิ์แก่พวกนายทุน ซึ่งนำไปสู่การกดขี่แรงงานและสนับสนุนการถอดถอนทรัพย์สินส่วนบุคคลนำไปสู่สังคมไร้ทุน ไร้ชนชั้น ลัทธิอนาธิปไตยฝ่ายซ้ายมีรากฐานมาจากสังคมนิยมแบบดั้งเดิมอีกทีหนึ่งและผลักดันให้สังคมไปสู่สภาวะความโกลาหน (chaos) ขบวนการเคลื่อนไหวแบบอนาธิปไตยเริ่มต้นอย่างเป็นรูปเป็นร่างในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 แนวคิด “อนาธิปไตย" เคยเป็นคำและขบวนการที่ผูกกับกลุ่มฝ่ายซ้ายในช่วงแรกและจะเรียกตัวเอง 'anarchist communism' หรือ กลุ่ม 'left-wing anarchism' ที่มีการขับเคลื่อนในรัสเซียโดยปีเตอร์ โครพอตกิน (Peter Kropotkin) และมิคาเอล บาคูนิน (Michael Bakunin) ซึ่งมีความคิดในลักษณะเดียวกันกับในยุโรป อย่างในสาธารณรัฐฝรั่งเศสก็มีปิแอร์-โจเซฟ พราวดอน (Pierre-Joseph Proudhon) ที่นำเสนอว่า “Property is theft” ในงานเขียนของเขาอย่าง What is property? ที่แสดงทัศนะเรื่องอนาธิปไตยแบบของเขา ในขณะที่อนาธิปไตยฝ่ายขวายอมรับการมีอยู่ของทรัพย์สินส่วนบุคคล เสรีภาพในชีวิต ทรัพย์สินแลtร่างกาย ชนชั้นทางสังคมที่แตกต่างกันอย่างสมัครใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการผลักดันสภาวะให้สังคมไปสู่ความมีระเบียบ (order) ในแบบที่ไม่มีรัฐบาล ขบวนการเคลื่อนทางการเมืองแบบอนาธิปไตยฝ่ายขวาที่โดดเด่นก็คือ 'อนาธิปไตยทุนนิยม' (anarcho-capitalism) เป็นคำที่ถูกสร้างขึ้นจากนักคิดอิสรนิยมอย่างเมอร์เรย์ เอ็น. ร็อธบาร์ด (Murray N. Rothbard) ซึ่งเป็นแกนหลักของอิสรนิยมในยุคปัจจุบันที่ถือเป็นเศษซากจาก "ขวาเก่า" (old right) ในช่วงสงครามเย็น . หากพิจารณาตามความเป็นจริงเราจะเห็นได้ว่าลัทธิอนาธิปไตยนั้นมี 2 สายและมีความแตกต่างอย่างชัดเจนว่า อนาธิปไตยฝ่ายซ้ายต้องการสร้างความโกลาหนและอนาธิปไตยฝ่ายขวาต้องการสร้างระเบียบ โดยทั้งสองอุดมการณ์นี้มีจุดร่วมเหมือนกันก็คือ "ไม่มีรัฐ" แต่คำถามในบทความนี้ก็คือ "ทำไมสังคมอนาธิปไตยแบบฝ่ายซ้ายถึงไม่มีวันเกิดขึ้นจริง" และก็ต้องถามต่ออีกว่า "แล้วทำไมสังคมอนาธิปไตยฝ่ายขวาถึงเกิดขึ้นจริงได้?" เราจึงขอตอบคำถามเหล่านี้ไล่เรียงทีละข้อแบบรัดรวบ ก็คือ (a).อนาธิปไตยและนักคิดโดยเริ่มแรกล้วนเป็น "สังคมนิยม" เริ่มแรก และมักจะมีมุมมองต่อโลกที่ยังคงเป็น 'ถ้าสังคมมีปัญหาและทุกอย่างก็ต้องหารัฐเพื่อแก้ไข' (static view of society) มันจึงทำให้พวกเขาหลงลืมว่าสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาได้อย่างไร เพียงแต่พวกเขารู้แค่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปตามประวัติศาสตร์แบบเส้นตรง (ความขัดแย้งทางชนชั้น ... เป็นคอมมิวนิสต์) ตามความคิดของคาร์ล มากซ์ (Karl Marx) ดังนั้น เวลาพวกเขาวิเคราะห์โลกแห่งความเป็นจริง พวกเขาจะละเลยการนำ "เวลา" (time) มาเป็นองค์ประกอบในการอธิบายว่าทำไมถึงเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามในอนาคตที่ต่างจากอดีต โลกตามทัศนะของสังคมนิยมคือ คนทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน เพียงแต่ในกรณีนี้เพิ่้มเติมแค่ว่า พวกเขาเป็นอนาธิปไตยที่ยังคงเชื่อในการตัดสินใจอย่างอิสระของปัจเจกบุคคล ตรงนี้เองถึงจะมีความคิดที่คล้ายคลึงกับอนาธิปไตยฝ่ายขวาในเรื่องของ "การตัดสินใจของปัจเจก" (individual choices) แต่มันก็ไม่เพียงพอที่จะอธิบายปรากฏการณ์ของเศรษฐกิจและโลกที่เรียกว่า "ความพอใจในการบริโภคต่างเวลา" (time preference) หรือ ทำความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า “ceteris paribus” คืออะไรและมีได้อย่างไร? เมื่อปราศจากสิ่งเหล่านี้ในโลกแห่งความเป็นจริงมันก็ไม่สามารถบอกได้ว่า "ตลาดทำงานอย่างไร" "ความต้องการของคนในเศรษฐกิจมีเท่าไหร่" "จะประเมินคุณค่าที่แตกต่างกันได้อย่างไร"; . (b).ข้อเท็จจริงที่ว่า "มีเพียงปัจเจกบุคคลเท่านั้น" เป็นข้อโต้แย้งที่ดีที่สุดสำหรับขบวนการเคลื่อนไหวแบบอนาธิปไตย ที่ไม่ว่าจะมีระบบ หรือ สองคนขึ้นไปก็ตามที่มีกำลังบังคับก็ไม่อาจเทียบเคียงคน ๆ เดียวได้ เพราะการมีอยู่ของ "คนสองคนขึ้นไป หรือ ระบบ" บ่งบอกถึงความไม่เท่าเทียม (ตามมุมมองของฝ่ายซ้ายมันก็คือ "การกดขี่") แต่หากมีเพียงแค่ปัจเจกบุคคล มันก็ไม่มีเหตุผลที่คนอื่นจะพยายามครอบครองอำนาจเพื่อมาปกครองอีกคนหนึ่งเพราะเขาจะต้องมีความเป็นเจ้าของตัวเองและมีความสุขไปกับสิทธิ์ที่คนอื่นจะไม่ละเมิดตน แต่ข้อเท็จจริงนี้เองมันยังหมายถึง "คนมีความแตกต่างกัน คนมองสิ่งเดียวกันอาจคิดต่างกันหรือให้ค่าไม่เท่ากัน" (subjective value) ดังนั้นโดยหลักการของสังคมนิยม (ทั้งอนาธิปไตยและอุดมการณ์ที่พึ่งพารัฐ) ไม่อาจตระหนักถึงข้อเท็จจริงตรงนี้ได้ว่ากลไกของสังคม สถาบัน ตลาดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างสมัครใจและเป็นธรรมชาตินั้นไม่ได้เท่าเทียมกัน การนำเสนอหลักการใด ๆ ก็ตามที่ต้องการยกเลิกหรือบิดเบือนล้วนแล้วเป็นการ "ฝืน" ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการกำหนดเป้าหมายที่อยู่ภายใต้ภาพลวงตาว่าจะสามารถทำการฝืนธรรมชาติของสังคมและปัจเจกบุคคลที่ไม่เท่ากันสำเร็จได้ มันจึงนำไปสู่ (c).อุดมการณ์ทางการเมืองใดก็ตามจำเป็นต้องมีผลประโยชน์เป็นแรงขับเคลื่อน (และมี "อำนาจ" เป็นเป้าหมายสูงสุด) อย่างเช่น ทุนสนับสนุน เสบียงอาหาร หรืออื่น ๆ เป็นการทำให้องค์กร กลุ่มสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แม้แต่อนาธิปไตยฝ่ายซ้ายไม่ว่าจะเป็นโรจาวา (Rojava) ซาปาติสตา (Zapatista) ชาส (CHAZ : Capitol Hill Autonomous Zone) หรืออื่น ๆ ล้วนแล้วต้องมี "เศรษฐกิจ" (economy) เพื่อขับเคลื่อนการอยู่รอดเสมอ ประเด็นสำคัญก็คือ หลักการของอนาธิปไตยฝ่ายซ้าย หรือ สังคมนิยมฝ่ายซ้ายมีเป้าหมายเพื่อ “ถอดถอนทุนนิยม” “ล้มล้างทรัพย์สินส่วนบุคคล” ต่าง ๆ แต่กลับพยายามอาศัยสิ่งที่เป็นเป้าหมายเพื่อการล้มล้างมาใช้ประโยชน์เพื่อขับเคลื่อนอุดมการณ์ของตนเอง (จำเป็นต้องอาศัย “ทุน” หรือ อะไรบางอย่างที่เป็นสัญญะของทุนนิยม) มันจึงเป็นการกระทำที่ย้อนแย้งในตัวเองของอุดมการณ์ฝ่ายซ้ายในโลกแห่งความเป็นจริง (self-contradiction) แม้แต่ปารีสคอมมูน (Paris commune) ที่ครั้งหนึ่งคาร์ล มากซ์อธิบายว่ามันคือ "เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ" (dictatorship of the proletariat) ที่แท้จริง แต่ก็ต้องล่มสลายไปเพราะความอ่อนแอภายในที่จำเป็นต้องปล้นทรัพยากรจากผู้มั่งมีไปให้กับกลุ่มตนเองและปัจจัยสงครามภายนอกที่มีพละกำลังมากกว่าปราบปรามเพื่อเข้ายึดปารีสกลับโดยกองทัพฝรั่งเศส . ในทางตรงกันข้ามทำไมอนาธิปไตยฝ่ายขวาถึงเกิดขึ้นจริงได้ละ? หากทำความเข้าใจว่าทำไมอนาธิปไตยแบบฝ่ายซ้ายเกิดขึ้นไม่ได้นั้นก็คือ 'การทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกันทั้งหมด' อย่างเช่น (a).อนาธิปไตยฝ่ายขวายอมรับเรื่องของ "ทุน" หรือ การต้องมีอะไรตกถึงท้องจึงจะขับเคลื่อนอุดมการณ์ องค์กร หรือกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง รวมไปถึงการดำรงอยู่ของทรัพย์สินส่วนบุคคล สิทธิ์ในทรัพย์สิน ชนชั้นทางสังคมและอื่น ๆ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในธรรมชาติของสังคมมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องของชนชั้น การทำลายหรือย่อยสลายมันเป็นเพียง "การหมุนเวียนของชนชั้นนำที่ขึ้นมาแทนที่" (b).อนาธิปไตยฝ่ายขวาปฏิเสธมุมมองแบบรัฐเข้ามายุ่งเกี่ยวข้องใด ๆ ทุกมิติทางสังคมและเศรษฐกิจและผลักดันให้เกิด "สังคมเอกชน” ( “Private Society” ) อันประกอบไปด้วย องค์กรเอกชน (private company) ทรัพย์สินส่วนบุคคล (private property) กฎหมายเอกชน (private law) หน่วยงานเอกชนและอื่น ๆ (private agency) ที่ขึ้นอยู่กับการตกลงกันอย่างสมัครใจที่จะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ หรือ เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ดังนั้น พื้นที่ที่อนาธิปไตยฝ่ายขวายอมรับว่าเป็นความสำเร็จของตนอย่างเช่น สาธารณรัฐคอสไปยา (Republic of Cospaia) ชุมชนอาคาเดีย (Acadian community) ไอซ์แลนด์ยุคกลาง (Medieval Iceland) ตะวันตกเก่า (the Old West) และอื่น ๆ ซึ่งล้วนแล้วมีความเป็นเอกราช (สามารถปกครองตนเองได้) ที่อาจเกิดจากความบังเอิญที่เป็นดินแดนนั้นถูกละเลยหรือถูกยกเว้นจากประเทศภายนอก และ (c).หลักการของอนาธิปไตยฝ่ายขวามองว่ามนุษย์ "ไม่เท่าเทียม" ในธรรมชาติ สารตั้งต้นตรงนี้นำไปสู่การพัฒนาทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์ที่นำมาอธิบาย "ความพอใจในการบริโภคต่างเวลา" หรือ กฎอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งงาน การรวมกลุ่มกันเป็นสังคม กลไกตลาด การจะทำให้สังคมหรือเป้าหมายหนึ่งเป็นไปได้ก็คือ การทำสิ่งที่ไม่ขัดแย้งกับธรรมชาติ กล่าวคือ การดำเนินการ หรือ ปล่อยไปตามธรรมชาติที่เป็นอยู่ของมัน การก้าวข้ามขีดจำกัดของธรรมชาติที่มนุษย์ไม่เท่าเทียมกันล้วนแล้วจะต้องเกิดการกระทำที่ "ย้อนแย้งในตัวเอง" จากการที่พวกเขาต้องพยายามสร้างธรรมชาติขึ้นมาใหม่ หรือ กลายสภาพไปเป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติมากกว่าเดิม . บรรณานุกรม Nikolic, Luka. A Brief History of French Socialists. Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2018. Bylund, Per. The Trouble With Socialist Anarchism. Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2019. Rothbard, Murray N. Are Libertarians "Anarchists"?. Auburn, AL: Ludwig von Mises Institute, 2022. Mises, Ludwig von. Socialism : An Economic and Sociological Analysis. New ed. J. Cape 1953. image
เศรษฐกิจญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 . เศรษฐกิจญี่ปุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ทางผู้เขียนมองว่าน่าสนใจแต่แวดวงผู้ที่สนใจญี่ปุ่นกลับมักจะมองข้าม อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่สามารถยอมรับความเป็นจริงที่ได้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นตั้งแต่การปฏิรูปเมจิจนถึงปีโชวะที่ 20 (昭和20年) ถูกทำให้ “ทันสมัย” ในด้านของการเปิดตลาดให้เสรีในแบบคู่ขนานและเปลี่ยนผ่านจากยุคการเกษตรแบบยังชีพกับสังคมเกษตรกรรมมาเป็นระบบทุนนิยมอย่างสมบูรณ์ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาจัดรวมนโยบายด้านสังคมและเศรษฐกิจของสมัยจักรวรรดิญี่ปุ่นให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับแนวคิดเรื่อง “เผด็จการ” และมองว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมีคำอธิบายเชิงวิชาการใด ๆ พวกเขาจึงมองข้ามการพัฒนาทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในยุคดังกล่าว แต่ถึงอย่างนั้นทางผู้เขียนยืนหยัดที่จะเสนอว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นก่อนสงครามและช่วงสงคราม (ค.ศ. 1868 - 1945) มีความหลากหลายและแตกต่างในตัวของมันเองและเป็นพื้นฐานให้กับการเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจของญี่ปุ่นโดยเฉพาะในยุคหลังสงคราม บทความนี้จึงเป็นการสร้างภาพมโนทัศน์ที่แตกต่างจากแนวคิดสายกระแสหลักที่มองว่าญี่ปุ่นเอาแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์จากโลกตะวันตกไปใช้ประโยชน์อย่างเดียว ในญี่ปุ่นช่วงนั้นเองก็ได้มีนักปรัชญาการเมืองและเศรษฐศาสตร์ตั้งแต่ยุคเอโดะ (江戸時代) ที่พัฒนาแนวคิดทางการเมืองและเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมแบบญี่ปุ่นและผสมผสานเข้ากับแนวคิดของทางโลกตะวันตก แนวคิดของพวกเขาก็มีอิทธิพลต่อการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจโดยรวมในยุคก่อนสงครามและยุคหลังสงคราม = การพัฒนาทางเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาลเมจิ = นับตั้งแต่การปฏิรูปเมจิได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1868 การพัฒนาการทางด้านแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์, การเมือง, วัฒนธรรม และความเป็นชาติในประเทศญี่ปุ่นก็ได้เกิดขึ้นอย่างล้นหลาม หนึ่งปัจจัยที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์เหล่านี้และการขึ้นมาของอิทธิพลแวดวงนักวิชาการญี่ปุ่นเป็นผลพวงมาจากการที่ประเทศได้รับแรงกดดันจากมหาอำนาจตะวันตก เช่น สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส และ สหรัฐอเมริกา ที่แผ่ขยายอำนาจเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก แนวคิดเพื่อ “ปฎิรูปเศรษฐกิจ” ให้ทันสมัยเพื่อให้ทัดเทียมและเป็นแรงต้านอิทธิพลจากชาติตะวันตกจึงเป็นผลทำให้มีการนำเข้าแนวคิดปรัชญาทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาจากโลกตะวันตกและผสมผสานเข้ากับแนวคิดเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีรูปแบบเพียงพอด้วยการยืนด้วยขาตัวเองและการสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นที่ส่งทอดมาจากยุคสมัยเอโดะ (江戸時代) แว่นแคว้น (藩) ต่าง ๆ ในช่วงปลายการปกครองของโชกุนต่างก็เข้าหาเทคโนโลยีและแนวคิดจากตะวันตกเพื่อนำมาผสมเข้ากับพฤติกรรมด้านเศรษฐกิจดั้งเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็จำกัดพื้นที่ของชาวต่างชาติที่นำเข้าแนวคิดและที่เข้ามาประกอบธุรกิจเพื่อไม่ให้รุกล้ำอธิปไตยของแต่ละแคว้นมากเกินไป ผลที่ตามมาคือการผูกขาดสินค้าและบริการบางอย่างแตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่อิงตามแว่นแคว้น (Flath 2022) ... หนึ่งในตัวอย่างของผู้ที่สนับสนุนให้มีการปฏิรูปเศรษฐกิจและสถาบันสังคมอื่นโดยรวมก็คือ ฟูกูซาวะ ยูกิจิ (福澤 諭吉) จากแคว้นนาคัตสึ (中津藩) เขาเป็นผู้ที่สนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบรัฐสภา, ระบบพรรคการเมือง และ การขยายดินแดนของจักรวรรดิ เพื่อ “รักษาอธิปไตยญี่ปุ่นจากชาติตะวันตกในระยะยาว” ราวกับเป็นการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างมาตรการป้องกันโรค แต่ถึงอย่างไรก็ตาม “การปฏิรูป” ดังกล่าวนั้นไม่ใช่การเปลี่ยนประเทศให้แตกต่างอย่างสมบูรณ์แต่อย่างใด แต่เป็นการสานต่อ (continuity) ตลาดเสรีแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่มีจุดเริ่มมาจากการปฏิรูปเศรษฐกิจในสมัยของเอโดะช่วงแรกหรือที่เรียกว่านโยบาย “ราคุอิจิ/ราคุซ่า” (楽市・楽座) ที่เป็นการทดลองตลาดเสรีในขนาดย่อมในแคว้นต่าง ๆ โดยรัฐบาลโชกุน (Takeda 2004) . การอุตสาหกรรม (industrialization) ก่อตัวขึ้นมาจากการพยายามปรับตัวของผู้เล่นในประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นเอกชนในขณะที่รัฐบาลเป็นผู้เล่นในเกมการเมืองและกฎหมายเพื่อกระตุ้นการกระโดดของอุตสาหกรรมเสียส่วนใหญ่ ลักษณะของการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจในช่วงนี้มีดังนี้ (a) นำเข้ารูปแบบสถาบันทางสังคมจากชาติตะวันตกเข้ามาผสมผสานแล้วสร้างของ “ญี่ปุ่น” ขึ้นมาเอง เช่น ระบบการศึกษาและระบบการจัดการธุรกิจ; (b) สร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟ, ถนนหนทาง และ วางระบบไฟฟ้า; (c) งานด้านเทคนิคที่เป็นปฏิกิริยาก่อตัวขึ้นมาของการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจกลายเป็นฐานหลักของเศรษฐกิจประเทศ ส่งผลทำให้การผลิตสินค้าและบริการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสนองความต้องการของตลาด; (d) การขึ้นมาของกลุ่มบริษัท “ไซบัตสึ” (財閥) ที่มีรากฐานมาจากตระกูลซามูไรที่มีอิทธิพลในสมัยเอโดะเป็นผลทำให้ระบบการจัดการและการบริหารเศรษฐกิจในภาคเอกชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมการผลิต จะเห็นได้ว่าถึงแม้จะมีนำเข้าแนวคิดจากชาติตะวันตกเข้ามาเพื่อ “ปฏิรูป” และ “ทำให้ทันสมัย” แต่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากระบบโชกุนมาเป็นระบบรัฐ-สมัยใหม่การพยายามรักษาคงความเป็นชาติญี่ปุ่นก็ยังคงชัดเจน (Ohno 2017) เพราะญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นและความเป็นชาตินิยมที่สูงการเปิดตลาดให้เสรีในช่วงของจักรวรรดินั้นจึงเป็นไปในรูปแบบของนโยบายคู่ขนาน กล่าวคือในขณะที่การส่งเสริมให้มีการค้าขายเสรีภายในประเทศการค้าขายระหว่างประเทศถือว่ามีการจำกัดอย่างมากเพื่อสนับสนุนความเป็นชาติคล้ายกับรูปแบบเศรษฐกิจ “พาณิชย์นิยม” (“mercantilism”) ของสหราชอาณาจักรที่สนับสนุนการส่งออกให้มากที่สุดในขณะที่การนำเข้าจากต่างประเทศมีการกีดกั้นถึงขีดสุด นโยบายเช่นนี้จะเป็นแบบอย่างให้กับนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของญี่ปุ่นจนกระทั่งวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงยุค 90s มรกดกตกทอดจากรูปแบบเศรษฐกิจของศักดินาญี่ปุ่นมาสู่ยุคจักรวรรดิถือว่ามีความสำคัญมากต่อการเข้าใจเศรษฐกิจญี่ปุ่น แม้แต่ในปัจจุบันเราก็เห็นได้ว่าพนักงานรายเดือน (サラリーマン) มักจะถูกจ้างโดยบริษัทญี่ปุ่นใหญ่ ๆ พร้อมกันเมื่อเรียนจบ (新卒一括採用) หรือแม้แต่ระบบการจ้างตลอดชีพ (終身雇用) ที่เป็นมรดกของระบบศักดินาบริวาร-ซามูไร (Fukao 2017) (ในแวดวงวิชาการญี่ปุ่น “ศักดินาในญี่ปุ่น” ค่อนข้างต่างจาก “ศักดินายุโรป” ที่เราเข้าใจกัน, นักวิชาการบางท่านปฏิเสธว่าศักดินาเกิดขึ้นในญี่ปุ่น ทางผู้เขียนใช้คำว่า “ศักดินา” เพื่อสื่อถึงระบบการปกครองและเศรษฐกิจโดยรวมของยุคเอโดะเพื่อความสะดวก) = ด้านการเงินและธนาคาร = นอกเหนือจากการนำแนวคิดตลาดเสรีทุนนิยมมาปรับใช้ในรูปแบบนโยบายคู่ขนานแล้วแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์จากประเทศยุโรปที่กำลังโตและพัฒนาเพื่อเทียบเท่ากับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสอย่างจักรวรรดิเยอรมันที่รวมชาติได้เพียงไม่กี่ปีก็เป็นหนึ่งในแหล่งทรัพยากรทางด้านแนวคิดด้านการเงินและธนาคารที่สำคัญต่อประเทศญี่ปุ่น (Pauer 2014) ในช่วงแรกหลังจากรัฐบาลโชกุนได้ถูกล้มลงแล้วนั้นรัฐบาลเมจิก็ได้ดำเนินนโยบายทางการเงินและธนาคารเหมือนกับประเทศมหาอำนาจในตะวันตก ยกตัวอย่างเช่น มีการนำแนวคิดการเงินของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในช่วงนั้นมาปรับใช้ กล่าวก็คือไม่มีการสร้างธนาคารแห่งชาติแต่เป็นการสร้างธนาคาร “เอกชน” ที่สนับสนุนโดยรัฐให้ออกธนบัตรในแต่ละท้องถิ่นอิงตามอดีตพื้นที่ของแว่นแคว้นผ่าน “พระราชบัญญัติธนาคารแห่งชาติ ค.ศ. 1872” (国立銀行条例) ในขณะที่ใช้ทองคำเป็นมาตราฐานในการรองรับการพิมพ์ธนบัตรเพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบ แต่หลังจากนั้นได้ไม่นาน “กบฏซัตสึมะ” หรือ “สงครามเซนัน” (西南戦争) ก็ได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1877 สภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อรัฐบาลเมจิที่มีทองคำสำรองไม่พอในการรองรับนโยบายพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อทำสงครามกับแคว้นซัตสึมะ ในขณะเดียวกันนั้นรัฐวิสาหกิจที่ถูกสร้างขึ้นมาจากนโยบายอุตสาหกรรมของรัฐบาลก็ไม่ได้สร้างกำไร มิหนำซ้ำยังสร้างภาระให้กับรัฐบาลและผู้จ่ายภาษีที่ตอนนี้จ่ายให้กับรัฐบาลแห่งชาติไม่ใช่รัฐบาลท้องถิ่นของแว่นแคว้นอีกต่อไป ด้วยภาระทางการเงินที่สูง, สภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และ ประสิทธิภาพการผลิตสินค้าและบริการที่ลดลงจากการแทรกแซงโดยรัฐและสงครามเป็นผลทำให้ มัตสึกาตะ มาซาโยชิ (松方 正義) ผู้สนับสนุนแนวคิดการควบคุมปริมาณเงินและการจำกัดงบประมาณรัฐ ขึ้นมามีตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง (大蔵大臣) เขามีแนวคิดคล้ายกับ อาราอิ ชิราอิชิ (新井 白石) นักปรัชญาขงจื๊อผู้ที่ทำนโยบายการเงินมั่นคงให้กับรัฐบาลโชกุนในศตวรรษที่ 17 ในช่วงที่วิกฤตเงินเฟ้อได้เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลเมจิ มาซาโยชิ กล่าวเอาไว้ว่า: . “จะเห็นได้ชัดเจนว่าความซบเซาในการผลิตเกิดจากขาดการลงทุนซึ่งเกิดจากความไม่แน่นอนในนโยบายสกุลเงินของเรา [...] การลดค่าเงิน [เยน] เกิดจากความไม่เพียงพอของ [มาตรฐานทองคำสำรอง] ซึ่งก็เป็นผลกระทบจากการผลิตที่ตกต่ำ” . นอกเหนือจากนั้น มาซาโยชิ ยังมองว่านโยบายการสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมและการค้าขายกับต่างประเทศจำเป็นที่จะต้องดำเนินต่อไปเพื่อรักษาความมั่นคงของเศรษฐกิจและลดการขาดดุลทางการค้าที่เป็นปัญหามานานตั้งแต่สมัยเอโดะตอนปลาย มากไปกว่านั้นเขายังปฏิเสธแนวคิดของรัฐบุรุษ โอกูมะ ชิเงโนบุ (大隈 重信) ว่าด้วยเรื่องการกู้ยืมเงิน “50 ล้านเยน” จากสหราชอาณาจักร มาซาโยชิ มองว่าการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศและการกู้ยืมเงินโดยรวมกับการขยายปริมาณเงินในระบบโดยรวมจะเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ภายใต้นโยบายทางการเงินของ มาซาโยชิ เป็นผลทำให้เกิดสภาวะเงินฝืดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่วิกฤตการณ์เงินเฟ้อที่เกิดก่อนหน้านั้นในช่วงทศวรรษที่ 1870s ก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว นโยบายการจำกัดงบประมาณรัฐก็ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเมจิยุคแรกค่อย ๆ ที่จะหายไป ในขณะที่ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น (日本銀行) ถูกก่อตั้งขึ้นเดือนตุลาคม ค.ศ. 1882 เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินโดยรวมของประเทศผ่านการใช้ระบบ “เงินกระดาษ” (“fiat money”) ที่อิงกับระบบแลกเปลี่ยนของแว่นแคว้นในอดีต แต่ถึงอย่างไรก็ตามความเป็นอิสระของธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นนั้นเป็นรากฐานทางการเงินที่สร้างทั้งวิกฤตและความเจริญในยุคให้หลัง ในปี ค.ศ. 1897 ธนาคารแห่งชาติประกาศกลับมาใช้มาตรฐานทองคำอีกครั้งเพื่อรักษาความมั่นคงทางการเงิน (Ohno 2017) ในยุคนี้เองบริษัทเอกชนต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมาเป็นมากมายเป็นปฏิกิริยาต่อการเป็นระบบระเบียบของเศรษฐกิจและแรงจูงใจที่เกิดจากการโอกาสมากมายในตลาด (Ramseyer 1996) ... หลังจากที่ฟองสบู่ทางเศรษฐกิจจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของญี่ปุ่นได้แตกและทำให้เกิดหนี้มากขึ้นในสถาบันการเงินและบริษัทต่าง ๆ ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นนอกเหนือจากที่จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดกลับเข้าไปอุ้มด้วยการให้สถาบันการเงินและบริษัทเหล่านั้นกู้อย่างรวดเร็วแทนที่จะแก้ปัญหาที่โครงสร้างทางการเงิน นอกเหนือจากนั้นในปี ค.ศ. 1923 เมื่อแผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโตเกิดขึ้นธนาคารแห่งชาติก็ปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์มากขึ้นไปอีกมากกว่าเดิม นอกเหนือจากนั้นธนาคารแห่งชาติยังไม่สามารถที่จะจ่ายอัตราผลตอบแทนต่อธนบัตรที่จ่ายออกช่วงแผ่นดินไหวไปถึง 431 ล้านเยน เพิ่มกับหนี้ของเอกชนที่ล้นเกินประเทศหลายล้านเยน ในท้ายที่สุดทุกก็ล้มเหลวเมื่อวิกฤตการณ์การเงินโชวะในปี ค.ศ. 1927 และ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของทั้งโลกเกิดขึ้น จนทุกอย่างถูกกลบด้วยเศรษฐกิจแบบสงคราม... (Miwa 2015) = ตลาดเสรีทุนนิยม = หลายคนอาจจะวาดภาพมโนทัศน์ที่ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงก่อนสงครามและช่วงสงคราม (หรือแม้แต่หลังสงครามเอง) เป็นเหมือนรูปปั้นที่แข็งทื่อไม่สามารถขยับได้หรือไม่มีความเสรีและความยืดหยุ่นเลย แต่ในความเป็นจริงนั้นสภาวะความเป็นเอกชนและสิทธิในทรัพย์สินถือว่ามั่นคงพอสมควรยกเว้นเพียงแค่ช่วงที่ญี่ปุ่นทำสงครามเต็มรูปแบบ (total war) ช่วงสู้ต่อต้านฝ่ายสัมพันธมิตรเท่านั้นที่เศรษฐกิจจะถูกคุมโดยรัฐอย่างกึ่ง ๆ การส่งออกถือว่าเป็นความสำคัญของฐานเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงยุคนี้ สินค้าที่ส่งออกที่สำคัญจากมากที่สุดตามลำดับมีดังนี้: เส้นไหมดิบ, ใบชา, ธัญพืช, อาหารทะเล, แร่ธาตุ และ ถ่านหิน ผ้าไหมค่อนข้างที่จะเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางมากในหมู่สังคมชาวอเมริกัน หนึ่งในผู้ที่สนับสนุนตลาดเสรีทุนนิยมและเป็นผู้ที่สนับสนุนสิทธิในทรัพย์สินอย่างมั่นคงก็คือ อุกิจิ ทากุจิ (田口 卯吉) ผู้มากประสบการในกระทรวงการคลังและตั้งกิจการสื่อเอกชนที่ทำตามโมเดลหนังสือพิมพ์ “The Economist” ของสหราชอาณาจักร เขามีตำแหน่งผู้แทนในสภาผู้แทนราษฎร (衆議院) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1894 จนถึง 1905 ตามแนวคิดที่ต้องการให้ชาติญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นแนวหน้าของโลกเท่าเทียมกับชาติมหาอำนาจตะวันตก เขาได้กล่าวว่า: . “ในประเด็นเรื่องการค้าเสรี ... นโยบายการค้าเสรีควรนำมาใช้เพราะว่าเช่นนั้นจะเป็นผลทำให้ผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ” . ทากุจิ มีความเป็นชาตินิยมสูงแต่ในขณะเดียวกันเขาก็มองว่าการค้าเสรี/ตลาดเสรีทุนนิยมคือทางออกสำหรับประเทศญี่ปุ่นและการพัฒนาการทางเศรษฐกิจในระยะยาว ในมุมมองของเขาความเป็นชาตินิยมและยึดถือต่อประเพณีกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นไม่จำเป็นที่จะต้องมีการแทรกแซงเศรษฐกิจโดยรัฐบาล นอกเหนือจากนั้นเขายังมีแนวคิดที่เอียนเอียงไปทางสำนักแนวคิดสายเสรี เช่น สำนักสเปนซาลามังกา (Escuela de Salamanca, School of Salamanca) และ สำนักออสเตรียน (Austrian School of Economics) ที่มีฐานคิดในด้าน “ส่วนเพิ่มนิยม” (“marginalism”) (Flath 2022) มากไปกว่านั้น ทากุจิ ก็ได้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมากมายเพื่อบูรณาการความนึกคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นของชาวญี่ปุ่นเอง โดยเฉพาะในหนังสือ “ประวัติแบบสั้นของอารยธรรมญี่ปุ่น” (日本開化小史) ที่มองว่าขุนนางยุคสมัยนาระ (奈良時代) และ สมัยเฮอัง (平安時代) ทำให้ชาวญี่ปุ่นต้องตกยากลำบากผ่านการจ่ายภาษีที่มากเพื่อไปทำรัฐสวัสดิการตามโมเดลของจักรวรรดิจีนในสมัยนั้น ในขณะที่หนังสือยังกล่าวต่อไปอีกว่าในสมัยของโชกุนคามาคุระ (鎌倉時代) การทำรัฐสวัสดิการมีน้อย, รัฐบาลเป็นชนชั้นนักรบ และ มีการบริหารจัดการงบประมาณที่มีประสิทธิภาพ แนวคิดของ ทากุจิ ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อการค้าเสรีกับต่างประเทศแต่ก็ผสมผสานกับแนวคิดปกป้องเศรษฐกิจของชาติโดยรัฐบุรุษ อินุไค ซึโยชิ (犬養 毅) ซึ่งนโยบายผสมผสานแบบนี้บวกกับนโยบายคู่ขนานที่กล่าวไปข้างต้นจะกลายเป็นลักษณะโดยรวมของเศรษฐกิจญี่ปุ่นจนกระทั่งสงครามกับจีนในปี ค.ศ. 1937 และ สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปลายปี ค.ศ. 1941 (Flath 2022) = เข้าสู่เศรษฐกิจแบบสงคราม = รัฐบาลญี่ปุ่นในสมัยของจักรวรรดินั้นค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญกับระบบข้าราชการสูงเป็นอย่างมาก ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในพื้นฐานที่ส่งต่อมาถึงปัจจุบัน หนึ่งในนโยบายที่สำคัญต่อการสร้างจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เป็นรองให้กับมหาอำนาจชาติตะวันตกได้นั้นก็คือการลงทุนกับพื้นที่อาณานิคม ถึงแม้จะเป็นงานหนักที่ใช้งบประมาณมากจนกระทั่งทองคำสำรองหมดไปเท่าตัวและหนี้สาธารณะเพิ่มเป็น 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (gross domestic product, GDP) ตั้งแต่ ค.ศ. 1937 เมื่อญี่ปุ่นทำสงครามกับจีนอย่างเต็มรูปแบบเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็เริ่มที่จะถูกควบคุม (Boldorf 2015) รัฐบาลสนับสนุนที่จะรวมกลุ่มบริษัทไซบัตสึให้เป็นกลุ่มผู้ผูกขาดเพื่อครอบงำตลาด (cartelization) ให้มีเป้าหมายอย่างเดียวคือการทำเพื่อชาติและระดมทรัพยากรทุกอย่างเพื่อสงคราม ธนาคารและสถาบันเงินในรูปแบบอื่นล่มละลายไปกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่กล่าวไปข้างต้นก็หน้านั้นในช่วงสงครามการเงินและการธนาคารจึงถูกคุมโดยสถาบันทางการเงินใหญ่ ๆ โดยเฉพาะจากกลุ่มไซบัตสึ ในขณะเดียวกันนั้นกลุ่มไซบัตสึก็เข้าใจดีกว่าตลาดเสรีทุนนิยมจะต้องคงอยู่เพื่อความมั่นคงและเจริญก้าวหน้าของเศรษฐกิจแห่งชาติ กลุ่มไซบัตสึส่วนใหญ่จึงต่อต้านและปฏิเสธการรวมอำนาจทางเศรษฐกิจของรัฐบาลที่คุมโดยทหาร แต่ในท้ายที่สุดเศรษฐกิจก็ถูกคุมอย่างสมบูรณ์และกลุ่มไซบัตสึก็ถูกนำโดยคำชี้นำจากรัฐบาล ในบทความครั้งหน้าเกี่ยวกับญี่ปุ่นทางผู้เขียนจะเจาะลึกเกี่ยวกับ “กลุ่มบริษัทไซบัตสึ” . บรรณานุกรม Boldorf, Marcel and Tetsuji Okazaki. Economies Under Occupation: The Hegemony of Nazi Germany and Imperial Japan in World War II. United Kingdom: Routledge. March 27, 2015. Flath, David. The Japanese Economy. United Kingdom: Oxford University Press. October 3, 2022. Fukao, Kyoji, et al. [岩波講座 日本経済の歴史] (“Iwanami Handbook of the Japanese Economic History”). Tokyo, Japan: Iwanami Shoten. July 12, 2017. Miwa, Yoshiro. Japan’s Economic Planning and Mobilization in Wartime, 1930s—1940s. United Kingdom: Cambridge University Press. January 22, 2015. Ohno, Kenichi. The History of Japanese Economic Development. United Kingdom: Routledge. September 6, 2017. Pauer, Erich, et al. Japan’s War Economy. United Kingdom: Routledge. December 2, 2014. Ramseyer, J. Mark. Odd Markets in Japanese History: Law and Economic Growth. United Kingdom: Cambridge University Press. September 28, 1996. Takeda, Haruhito. [日本経済思想史] (“History of Japanese Economic Thought”). Tokyo, Japan: University of Tokyo. 2004. image
เหตุการณ์ตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทล่มในปี ค.ศ.1929 เกิดขึ้นได้อย่างไร? . วิกฤตตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทล่มนับเป็นวิกฤตที่หนักหนาที่สุดในประวัติศาสตร์ทางการเงิน ผลกระทบของมันได้สร้างสภาวะซบเซาไปหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนอย่างลุควิค วอน มิซิส (Ludwig von Mises) กับฟรีดริช ฮาเยก (Friedrich Hayek) คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดวิกฤตนี้ก่อนอยู่แล้ว โดยเฉพาะฮาเยกที่เตือนเอาไว้ว่าการมาของวิกฤตทางการเงินเป็นผลพวงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการขยายตัวทางการเงินอย่างบ้าบิ่น (monetary expansion) ในขณะที่มิซิสตีพิมพ์หนังสือ The Theory of Money and Credit (1912) เพื่อเป็นแนวทางพัฒนาทฤษฏีวัฎจักรเศรษฐกิจแบบออสเตรียน ซึ่งในเวลาต่อมาฮาเยกก็นำแนวคิดนี้ไปอธิบายต่ออย่างเป็นรูปธรรม . หนึ่งในทฤษฏีที่อธิบายปรากฏการณ์การล่มของตลาดหลักทรัพย์ในปี ค.ศ.1929 ได้นั้นคือ "ทฤษฏีวัฏจักรเศรษฐกิจ" ที่แบ่งเป็น 2 ช่วงก็คือ ช่วงเจริญเติบโต (boom) และช่วงซบเซา (bust) สำหรับเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาก็มีวัฎจักรทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นหลายครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ.1819-1820 จนถึงปัจจุบันที่มีแนวโน้มที่ถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ อันเนื่องมาจากรัฐบาลมีความสามารถในการสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตแบเทียมผ่านนโยบายเงินง่าย (easy money) และการขยายสินเชื่อ (credit) ได้อย่างราบลื่น กรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาหรือทั่วโลกในแง่วิกฤตทางการเงินล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของสถาบันทางการเงินภาครัฐเอง ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐที่ถูกก่อตั้งในปี ค.ศ.1913 เป็นการทำให้มาตรฐานทองคำที่จำกัดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจอ่อนแอลง ทั้งนี้การดำรงอยู่ของธนาคารกลางสหรัฐมันเป็นผลสืบเนื่องไปถึงวิกฤตทางการเงิน ค.ศ.1929 จนถึงปัจจุบัน . ทั้งนี้สาเหตุของการเกิดวิกฤตในปี ค.ศ.1929 เป็นผลตามติดมากับการขยายสินเชื่อของธนาคารกลางในปี ค.ศ.1924 เนื่องจากในหลายธุรกิจช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำเป็นอย่างมาก ธนาคารกลางเลยแก้ไขปัญหาโดยการสร้างสินเชื่อขึ้นมาใหม่เป็นจำนวน 500 ล้านดอลลาร์ แต่เมื่อจะให้กู้จริงธนาคารกลับขยายสินเชื่อมากกว่านั้นถึง 4 พันล้านดอลลาร์ภายในแค่ปีเดียว ช่วงแรกเราจะเห็นผลกระทบจากการขยายสินเชื่อที่เห็นได้ชัดก็คือเศรษฐกิจเริ่มเติบโต-เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก แต่ก็แค่ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะมันคือต้นตอของวิกฤตตลาดหลักทรัพย์ล่มในปี ค.ศ.1929 และตามติดมาด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (great depression) จนเบนจามิน แอนเดอร์สัน (Benjamin Anderson) นักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนในเวลานั้นเรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็น "จุดเริ่มต้นของนิวดีล" (the beginning of the New Deal) . การขยายเครดิตของธนาคารกลางสหรัฐมีแบบมาจากธนาคารกลางของอังกฤษ เพื่อต้องการที่จะรักษาอัตราแลกเปลี่ยนก่อนสงครามเป็นผลให้เงินดอลลาร์ที่แข็งค่าและเงินปอนด์อังกฤษที่อ่อนค่าจะต้องหาทางปรับเปลี่ยน เพื่อให้เกิดภาวะสงครามผ่านนโยบายเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาและภาวะเงินฝืดในบริเตนใหญ่ ธนาคารกลางสหรัฐหลังจากนั้นเลยพยายามก่อเงินเฟ้อขึ้นในปี ค.ศ.1927 ผลก็คือ เงินฝากประจำในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นจาก 44.51 พันล้านดอลลาร์ในมิถุนายน ค.ศ.1924 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 55.17 พันล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.1929 วอลุ่มของการจำนองฟาร์มและในเมืองขยายตัวจาก 16.8 พันล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.1921 ไปเป็น 27.1 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.1929 สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของหนี้ในภาคอุตสาหกรรม ภาคการเงิน และภาครัฐบาลท้องถิ่น ด้วยเหตุนี้การขยายของเงินและสินเชื่อจึงมาพร้อมกับการที่ราคาอสังหาริมทรัพย์แพงขึ้นเช่นกัน ราคาของหลักทรัพย์อุตสาหกรรมตามรายงานของ Standard & Poor's common stock index เพิ่มขึ้นจาก 59.4% ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1922 ไปเป็น 195.2% ในเดือนกันยายนปี ค.ศ.1929 กระทั่งราคาของหุ้นรางรถไฟก็พุ่งขึ้นจาก 189.2% ไปเป็น 446.0% ในขณะที่สาธารณูโภคก็มีราคาที่เพิ่มขึ้นจาก 82.0% ไปเป็น 375.1% เลยทีเดียว . การขยายปริมาณเงินและสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจจะนำไปสู่การเกิดเงินเฟ้อและการลงทุนที่ผิดพลาด กระบวนการการเกิดเงินเฟ้อและการลงทุนที่ผิดพลาดเริ่มต้นจากความเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงแบบเทียม (artificial) ทำให้กลุ่มธุรกิจเกิดการตัดสินใจที่จะลงทุนในกิจการของตนเอง (ทางใดทางหนึ่ง) ตามความเชื่อที่ว่าถ้าหากอัตราดอกเบี้ยลดลงบ่งบอกถึงอุปทานที่เพิ่มขึ้นของการออมทุน (capital saving) กลุ่มธุรกิจเลยต้องเริ่มดำเนินการโครงการการผลิตใหม่ (การลงทุนในสิ่งต่าง ๆ) มันเลยเป็นเหตุผลว่าการสร้างเงินทำให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจ แต่มันจะเกิดพร้อมกับอัตราเงินเฟ้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะราคาของสินค้าทุนที่ธุรกิจต้องการลงทุนขยายโครงการการผลิตของตนเองมีราคาที่สูงขึ้น ปัญหาเริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้นจนธุรกิจไม่สามารถทำกำไรได้ จนทำให้ธุรกิจก็จะต้องลดกิจการตัวเองลง (ทั้งการขยายการผลิต โครงการต่าง ๆ อาจจะต้องยกเลิกหรือเลิกทำ) หลังจากความพยายามในการคงสเถียรภาพทางเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนแรกในปี ค.ศ.1928 ธนาคารกลางสหรัฐก็ละทิ้งนโยบายเงินง่ายเมื่อต้นปี ค.ศ.1929 โดยขายหลักทรัพย์ของรัฐบาล เหตุผลนี้เองจึงเกิดการหยุดการขยายสินเชื่อของธนาคาร โดยได้เพิ่มอัตราคิดลดเป็น 6 เปอร์เซ็นต์ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1929 อัตราเงินตามเวลา (Time-money rates) เพิ่มขึ้นเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ อัตราตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะสั้น (commercial paper rates) เป็น 6 เปอร์เซ็นต์ และราคาเมื่อเรียกคืน (call price) ต่อการตื่นตัวของนักลงทุนอยู่ที่ 15 เปอร์เซ็นต์และ 20 เปอร์เซ็นต์ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มปรับตัวใหม่ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1929 กิจกรรมทางธุรกิจเริ่มถดถอย แต่แล้วราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มฟื้นตัวในเดือนกรกฎาคม . มากไปกว่านั้นภายในตลาดการเงินพบว่าราคาของหลักทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นในวันที่ 19 กันยายน ค.ศ.1929 ภายใต้แรงกดดันจากการขายหลักทรัพย์ แม้ว่าในช่วงเวลา 5 สัปดาห์แรกที่มีนักลงทุนซื้อหุ้นในช่วงขาลงมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ที่ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange) ในเดือนกันยายน แต่แล้วผู้ถือหุ้นจำนวนมากก็พบถึงความผิดปกติ เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ซึ่งในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1929 ผู้คนหลายพันคนแห่ขายทรัพย์สินของตนเองไม่ว่าจะอยู่ในราคาใดก็ตาม จนยอดขายล้นหลามจากทั้งสาธารณชนทั่วไป . ในเวลาต่อมาตลาดหุ้นก็ส่งสัญญาณที่จะเริ่มฟื้นตัวเองเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากโครงสร้างทางการเงินของกลุ่มธุรกิจเริ่มกลับมาดีขึ้น ต้นทุนคงที่อยู่ในระดับต่ำเนื่องจากธุรกิจคืนเงินให้กับการออกหุ้นกู้จำนวนมาก และลดหนี้ให้กับธนาคารด้วยรายได้จากการขายหุ้น ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นธุรกิจก็พอเริ่มตั้งตัวได้เล็กน้อย จะเห็นได้ว่าในปี ค.ศ.1930 อัตราการว่างงานเฉลี่ยมีอยู่จำนวน 4 ล้านคนหรือ 7.8% ของประชากรที่ทำงาน ซึ่งการล่มของตลาดหลักทรัพย์เป็นผลสืบเนื่องให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเข้าสู่สภาวะซบเซา (recession) . การขึ้นมาของประธานาธิปดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์ (Herbert Hoover) ได้เข้ามาแก้ไขปัญหาของเรื่องที่เกิดขึ้น ส่วนตัวเขาเองไม่เห็นด้วยกับการให้เศรษฐกิจฟื้นฟูตัวเองเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา แต่เขาเลือกใช้การแทรกแซงของรัฐบาลผ่านการใช้จ่ายที่ขาดดุลเพื่อคงกำลังการซื้อของคนในประเทศเอาไว้เป็นทางแก้ไขปัญหาที่ดีกว่า ฮูเวอร์ยังได้รับรอง Smoot-Hawley Tariff Act ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1930 เป็นการยกระดับอัตราภาษีกุศลากรให้สูงขึ้นเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศ เป็นผลให้หุ้นของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ร่วงลง 20 จุดในวันเดียว (ซึ่งตลาดหุ้นคาดการณ์วิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างถูกต้อง) ขณะเดียวกันการส่งออกของชาวอเมริกันก็ตกลงจาก 5.5 พันล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.1929 ไปเป็น 1.7 พันล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ.1932 เกษตรกรส่วนใหญ่ซึ่งมักจะส่งออกสินค้าของตัวเองไปยังต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นข้าวที่ส่งออกเกิน 20% ฝ้ายเกิน 55% ยาสูบเกิน 40% และสินค้าอื่น ๆ เมื่อการค้าระหว่างประเทศถูกขัดขวางจากอำนาจรัฐ ก็ทำให้ภาคการเกษตรกรรมของสหรัฐอเมริกาในช่วงนั้นตกต่ำ อีกทั้งการมีอยู่ของกฎระเบียบทางการค้า เช่น การเก็บภาษีนำเข้า ระบบโควต้า การควบคุมสกุลเงินตราระหว่างประเทศเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทั่วโลกเกิดวิกฤตเศรษฐกิจด้วย . เมื่อภาคเกษตรกรรมทางเศรษฐกิจล้มละลาย ธนาคารหลายแห่งก็ไม่ให้ความช่วยเหลือ แม้แต่การถอนเงินฝากจากธนาคารที่เกษตรกรฝากเงินกับธนาคารกว่า 2000 แห่งและมีเงินฝากไหลเวียนอยู่เกิน 1.5 พันล้านดอลลาร์นั้นไม่สามารถให้ถอนออกมาได้ระหว่างเดือนสิงหาคม ค.ศ.1931 และเรื่อยมาจนถึงกุมภาพันธ์ ค.ศ.1932 ธนาคารเหล่านั้นที่ยังคงเปิดอยู่ แต่ถูกบังคับให้ลดการดำเนินงานหลายอย่างลง เช่น ธนาคารเลิกให้สินเชื่อหลักทรัพย์กับลูกค้า แต่ไปทำสัญญาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์แทน กดดันให้ผู้กู้ชำระเงินกู้เก่าและปฏิเสธที่จะให้กู้ยืมเงินใหม่ ซึ่งได้สร้างความตื่นตระหนกไม่ใช่แค่ต่อภาคเกษตรกรรมของอเมริกา แต่ยังสร้างความตื่นตระหนกต่อลูกค้าหลายล้านคนที่ไม่ใช่เกษตรกร . อย่างไรก็ตามรัฐบาลฮูเวอร์ปฏิเสธว่านโยบายการแทรกแซงเศรษฐกิจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เขากล่าวโทษว่าปัญหาที่แท้จริงเกิดจาก "นักธุรกิจ" และ "คนที่ต้องการเก็งกำไร" ต่างหาก ฮูเวอร์จำเป็นต้องแก้ทางโดยการเรียกผู้นำทางอุตสาหกรรมระดับชาติเข้ามาฟังนโยบายที่เขาเสนอก็คือ การคงอัตราค่าแรงและการขยายการสร้างงานในเศรษฐกิจ แต่นโยบายเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร เพราะในปี ค.ศ.1932 อัตราการว่างงานเฉลี่ยอยู่ที่ 12.4 ล้านคน ในเวลาเดียวกันก็มีการออก Revenue Act of 1932 เป็นการขึ้นอัตราภาษีรายได้บุคคลธรรมดามากขึ้นจากปกติอยู่ที่ 1 (1/2) ถึง 5% ไปเป็น 4% ถึง 8% อัตราภาษีส่วนเพิ่ม (surtax rate) จาก 20% ไปสู่ 55% ภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นจาก 12% ไปเป็น 13% (3/4) และ 14% (1/2) เช่นเดียวกับอัตราภาษีอสังหาริมทรัพย์ ภาษีน้ำมัน ภาษีรถยนต์ โทรศัพท์ต่าง ๆ ก็ล้วนเพิ่มขึ้นตาม . ผลกระทบของยุคฮูเวอร์ยิ่งซ้ำร้ายไปมากขึ้นในยุคของแฟรงคลิน เดลาโน โรสเวลต์ (Franklin Delano Roosevelt) ที่ได้ออกมาตรการทางเศรษฐกิจขึ้นมาเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น National Industrial Recovery Act (NIRA) เป็นกฎหมายเพื่อให้ธุรกิจควบคุมตัวเองผ่านการให้ราคาสินค้าและบริการ อัตราค่าแรงต่อชั่วโมงการทำงานให้ยุติธรรมต่อชนชั้นแรงงานและมีการเพิ่มอัตราค่าแรงขึ้นในช่วงเวลานั้นและเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ซ้ำร้ายจากการแทรกแซงโดยรัฐด้วยการ "แก้ไขปัญหาด้วยการวนอยู่ที่เดิม" ผ่านการออกบทบัญญัติ First Agricultural Adjustment Act มีเป้าหมายเพื่อยกระดับรายได้ของเกษตรกรผ่านการตัดพื้นที่ปลูกหรือทำลายพืชผลในแปลง แล้วรัฐจะจ่ายเงินให้เกษตรกรไม่ต้องปลูกอะไรแทนและมีการจัดทำข้อตกลงทางการตลาดเพื่อปรับปรุงการกระจายสินค้าให้ดีขึ้น แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นแม้แต่น้อย (นโยบายของโรสเวลต์เป็นการนำเศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใดยิ่งซ้ำร้ายให้ปัญหามากขึ้นเท่านั้น) . ยังไม่รวมถึงนโยบาย New Deal อย่างอื่นที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ "แรงงาน" "สร้างกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ" "การขยายตัวของมาตรการทางการเงิน" และอื่น ๆ ฯลฯ ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในช่วงนั้นฟื้นตัวได้ยาก สาเหตุของการเกิดวิกฤตตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการดำรงอยู่ของ "ลัทธิการแทรกแซง" (interventionism) ทั้งการมีอยู่ของธนาคารกลางสหรัฐที่เป็นต้นตอของวัฎจักรเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือ การแก้ไขปัญหาในยุคของ Hoover-Roosevelt ทำให้ปัญหาการว่างงาน การขาดดุลงบประมาณ อัตราเงินเฟ้อ และการเพิ่มต้นทุนของแรงงานช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นเลวร้ายยิ่งขึ้น . บรรณานุกรม Vol.19, nos. 1-12. Foundation for Economic Education, Irvington-on-Hudson, New York. This complete archive of The Freeman (1950-1999) is made possible by a generous grant from Guillermo M. Yeatts, in cooperation with Walter Block, and additional assistance from Gary North Lewis, Hunter. How the Artificial Boom of 1914-1929 Caused the Great Depression. Auburn, AL: Mises institute, 2014. Sennholz, Hans F. The Great Depression. Auburn, AL: Mises institute, 2020. image
"ระบบรัฐสวัสดิการขนาดใหญ่" สร้างปัญหาให้กับประเทศสวีเดนอย่างไร? . บทความนี้คัดส่วนหนึ่งมาจาก "The Mirage of Swedish Socialism : The Economic History of a Welfare State" โดยคุณ Johan Norberg ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ www.realitiesofsocialism.org . สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งมากที่สุดในโลกเป็นผลมาจากพัฒนาการบนระบบเศรษฐกิจแบบปล่อยให้ทำไป (laissez-faire) ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1840s ถึงทศวรรษ 1970s นับเป็นช่วงที่ความเจริญทางด้านเศรษฐกิจและสังคมมากที่สุดของสวีเดน การบริหารจัดการของรัฐบาลในด้านการใช้จ่ายนั้นมีสัดส่วนที่ต่ำกว่า 20% ต่อจีดีพี และมีโครงสร้างรัฐบาลขนาดเล็กกว่าประเทศยุโรปตะวันตกบางประเทศและมีการเก็บภาษีต่ำกว่าประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสวีเดนเคยมีการทดลองการเปลี่ยนรูปแบบเศรษฐกิจให้ใกล้เคียงกับระบบสังคมนิยมมาแล้วในช่วงทศวรรษ 1970s และ 1980s เริ่มจากการขยายการใช้จ่ายภาครัฐ การเพิ่มอัตราภาษีไปทำสวัสดิการและกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้แรงจูงใจในการทำงานและการทำธุรกิจของผู้ประกอบการนั้นอ่อนแอ ภาคส่วนเอกชนมีการสร้างงานลดลง ค่าแรงจริงหดตัวและธุรกิจอื่น ๆ อย่าง IKEA, Tetra Pak ต้องจำใจต้องย้ายทุนออกไปจากประเทศเพราะความเสี่ยงจากการขาดดุลรายจ่ายภาครัฐจำนวนที่มหาศาลกับความกลัวในอัตราเงินเฟ้อที่สูง เหตุการณ์เหล่านี้จบลงในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 1990s รัฐบาลของประเทศสวีเดนในช่วงเวลานั้นมีฉันทามติร่วมที่จะย้อนกลับไปหาระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมดั้งเดิม พวกเขาลดกฎระเบียบ ลดภาษีและสนับสนุนวินัยทางการคลังให้มั่นคงอีกครั้ง พร้อมกับภาคส่วนหลายอย่างถูกเปลี่ยนกลับไปอยู่ในมือของเอกชนอีกครั้งเพื่อแก้ไขปัญหาที่บานปลายในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การกระทำของรัฐที่เกิดขึ้นมันได้ชี้ชัดแล้วว่าการเปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่ดีอยู่แล้วไปเป็นระบบสังคมนิยมนั้นแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ หรือ การให้รัฐมีบทบาทเหนือปัจเจกบุคคล = ประเทศสวีเดนจนมาก่อน แต่ความเสรีทางเศรษฐกิจนำพาความเจริญ = โยฮัน ออกัสต์ กริเพนสเตดท์ (Johan August Gripenstedt) อดีตรัฐมนตรีการเงินของสวีเดนช่วงปี ค.ศ.1856 ถึง 1866 เชื่อว่า “สวีเดนมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ ถึงแม้จะเป็นประเทศยากจน” ตามประวัติศาสตร์ของสวีเดนนั้นมีปราสาทไม่มาก และไม่มีศูนย์กลางของเมืองขนาดใหญ่ อีกทั้งผู้พักอาศัยในเมืองขนาดใหญ่ก็มีจำนวนแค่ 75,000 คนที่อยู่ในสต็อกโฮล์ม (Stockholm) และอีก 16,000 คนอาศัยอยู่ในกอเทนเบิร์กเมืองขนาดใหญ่ที่รองลงมา (Gothenburg) จุดเด่นของสวีเดนในช่วงเวลานั้นก็คือ เหล่าชาวนามีความอิสระมากกว่าคนกลุ่มอื่น เนื่องจากประเทศสวีเดนแตกต่างจากประเทศอื่นในยุโรปที่ไม่เคยมีระบบศักดินาอย่างชัดเจน แต่ถึงมีขุนนางในสวีเดนก็เป็นแค่กลุ่มขนาดเล็กและอำนาจที่อ่อนแอทำให้ชาวนาในช่วงเวลานั้นมีความสามารถในการบริหารจัดการแรงงานและพื้นที่ของตัวเองได้ และส่วนใหญ่ชาวนาจะจ่ายภาษีให้กับคนในราชวงศ์และโบสถ์โดยตรงเท่านั้น บางส่วนของชาวนาก็ไม่ได้อิสระมากหากแยกออกจากกลุ่มส่วนใหญ่ที่ไม่ได้มีปากมีเสียงในสังคมมากเท่าที่ควร ชาวนาส่วนใหญ่สามารถอ่านออกเขียนได้ก่อนจะมีการศึกษาภาคบังคับในปี ค.ศ.1842 พบว่าราว ๆ 90% ของชาวสวีเดนสามารถอ่านออกเขียนได้อยู่แล้วรวมถึงชาวนา ในเวลาต่อมาก็ได้มีการปฏิรูปที่ดินในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ทำให้กลุ่มชาวนาบางส่วนกลายเป็นกลุ่มนายทุนกลุ่มเล็ก ๆ ทำให้บางชุมชนได้เลิกการทำนารวม (คนละอย่างกับในคอมมิวนิสต์) แต่ผันเปลี่ยนไปเป็นการลงทุนในวิธีการใหม่ ๆ ผ่านเครื่องไม้เครื่องมือที่ช่วยให้ผลิตภาพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้น . กล่าวคือ สวีเดนถือเป็นประเทศที่มีสารตั้งต้นความเจริญมาจาก "ชาวนา" ที่ผันตัวเองไปเป็นนายทุนและเป็นผลให้เกิดการกระจายความมั่งคั่งทำให้คนหลายคนมีฐานะชีวิตที่ดีขึ้นแต่ก่อนจำนวนมาก ทั้งนี้การเปิดเสรีทางเศรษฐกิจจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากขาดพรรคการเมืองของสวีเดนในช่วงเวลานั้นที่สนับสนุนการปฏิรูปเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษ 1840s และ 1870s เพราะมีความจำเป็นต้องทลายสังคมเก่าถูกควบคุมโดยพ่อค้าโดยได้รับอภิสิทธิ์จากกฎระเบียบของรัฐบาลกลาง กิลด์ (guild) ที่ให้สิทธิ์ในการควบคุมปัจจัยการผลิต การจ้างงาน การกำหนดราคาและการควบคุมอื่น ๆ กระทั่งการตั้งธนาคารและอัตราดอกเบี้ยก็ยังถูกควบคุมโดยรัฐบาล กล่าวได้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังคงถูกจำกัดสิทธิ์หลายประการ แม้แต่ชาวนาเองที่ขึ้นชื่อว่ากลุ่มคนที่มีเสรีภาพมากที่สุด ก็เพียงแค่สามารถควบคุมทรัพย์สินของตนเองได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถแยกหรือนำไปขายได้อย่างอิสระ ในด้านทรัพยากรของสวีเดนก็มีหลายอย่างที่สำคัญมาก แต่ถูกจำกัดแค่ในประเทศและรัฐบาลมีสิทธิ์ที่จะใช้มันมากกว่าคนอื่น หนึ่งในนั้นก็คือ การตัดไม้ (logging) หรือไม้แปรรูป แร่ (ore) เหล็กหล่อ (pig iron) ก็ถูกจำกัดการส่งออกหรือถูกแบน ถ้าหากจะนำเข้าก็ต้องเสียภาษีกุศลากรในระดับที่สูง หรือ บางสินค้าก็นำประเทศเข้าไม่ได้เลย . แอนเดอร์ส ไชเดเนียส (Anders Chydenius) เขาเป็นคนแรกที่เสนอการเปลี่ยนทิศทางทางเศรษฐกิจของสวีเดนตามแนวคิดเสรีนิยมแบบดั้งเดิม (classical liberalism) หรือก็คือ จุดเริ่มต้นของการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ (economic liberalism) เขาเป็นคนวางรากฐานทางความคิดเกี่ยวกับสิทธิ์การค้าของคนในชนบทจนทำให้ชื่อเสียงเขาโด่งดังจนได้รับเลือกเป็นผู้แทนในสภาฐานันดรนักบวชในสต็อกโฮล์มช่วงปี ค.ศ.1765 ถึง ค.ศ. 1766 เขายื่นข้อเสนอต่อรัฐสภาให้มีเสรีภาพของสื่อมวลชนและยกเลิกการเซ็นเซอร์ ซึ่งหลังจากนั้นกษัตริย์กุสตาฟที่ 3 ฉวยโอกาสควบคุมรัฐสภาเพื่อยกเลิกกฎเกณฑ์ดังกล่าวในปี ค.ศ.1772 แต่ก็มีการรื้อฟื้นบัญญัติขึ้นมาใหม่อีกครั้งหลังปี ค.ศ.1809 เป็นต้นมา ตัวของไชเดเนียสเองได้รับอิทธิพลทางความคิดมาจากปรัชญาในช่วงยุคตื่นรู้ (Enlightenment philosophy) จนทำให้เขาเขียนงานทางเศรษฐศาสตร์ในช่วงเวลานั้นอย่าง The National Gain ถูกตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1765 ในหนังสือได้อธิบายว่าตลาดเสรีนั้นจะมีการควบคุมตัวเอง ตั้งแต่กลไกทางกำไรและกลไกราคาจะเป็นการกระตุ้นให้คนอื่นผลิตในสิ่งที่คนอื่นต้องการมากที่สุด ซึ่งในงานเขียนของเขาเองได้อธิบายถึง "มือที่มองไม่เห็น" "บทบาทของตลาดเสรีและการค้าเสรี" ก่อนหน้างานเขียน The Wealth of Nations (1776) ของอดัม สมิท (Adam Smith) จะตีพิมพ์ถึง 11 ปี . ต่อมาหนึ่งในลูกศิษย์ของไชเดเนียสที่ชื่อ จอร์จ แอดเลอร์สปาร์ (Georg Adlersparre) เป็นนักคิดคนแรก ๆ ในสวีเดนที่เรียกเสรีภาพในทรัพย์สินและเสรีภาพส่วนบุคคลว่าแนวคิดแบบ "เสรีนิยม" ตัวของแอดเลอร์สปาร์ยังได้แปลงาน The Wealth of Nations ของอดัม สมิทเป็นภาษาสวีเดนและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติในปี ค.ศ.1809 ซึ่งในช่วงเวลานั้นเองกษัตริย์กุสตาฟที่ 4 อดอล์ฟ (Gustav IV Adolf) ได้นำพาประเทศไปสู่สงครามกับรัสเซีย ฝรั่งเศส และเดนมาร์กพร้อม ๆ กัน ในปลายทศวรรษ 1808 กองทัพสวีเดนต้องยอมจำนนในส่วนครึ่งหนึ่งที่อยู่ทางตะวันออกของประเทศ—ฟินแลนด์—เพื่อรุกรานรัสเซียและหลายคนกลัวว่าสวีเดนจะทำเช่นนั้นจะต้องพังทลายลง แอดเลอร์สปาร์จึงได้เข้าควบคุมกองทัพตะวันตกแล้วออกประกาศให้กองทัพต้องยกทัพไปสต็อกโฮล์มและปลดกษัตริย์ออกไปเพื่อกอบกู้ประเทศ กษัตริย์ถูกจับกุมตัวและกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “เสรีนิยม” ได้ต่อสู้เพื่อประเทศและสร้างปฏิรูปที่รุนแรงในรัฐสภาปฏิวัติปี ค.ศ. 1809-10 . อีกทางหนึ่งในช่วงยุคการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศสวีเดนก็ได้มีผู้ประกอบการคนหนึ่งชื่อว่า ลาร์ส โยฮัน เอียร์ต้า (Lars Johan Hierta) ต่อมาในปี ค.ศ.1830 เขาได้ก่อตั้งสำนักพิมพ์อย่าง Aftonbladet (อาฟตันเบลด) ที่มีอิทธิพลต่อฝ่ายเสรีนิยมในสวีเดนและสร้างพื้นที่ทางการเมืองให้แก่พวกกลุ่มสายกลางปฏิรูปอย่างโยฮัน ออกัสต์ กริเพนสเตดท์ที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทำให้ช่วงระหว่างปีค.ศ.1840 และ ค.ศ.1870 สวีเดนได้อยู่ในยุคของการปฏิวัติเสรีนิยมที่สงบสุขที่สุด มีการปกป้องสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล เสรีภาพในการแบ่งแยก การโอนถ่าย การซื้อและขายที่ดิน กฎระเบียบที่ขัดขวางการส่งออกเหล็กและไม้ถูกยกเลิก กิลด์การค้าที่เป็นตัวตอการผูกขาดเศรษฐกิจก็ได้ถูกทลายลงในเวลาต่อมา และช่วงต้นปี ค.ศ.1846 และ ค.ศ.1864 ผู้หญิงก็สามารถเริ่มทำธุรกิจได้อย่างเสรีมากขึ้น สวีเดนมีกฎหมายบริษัทร่วมหุ้นที่มีความรับผิดจำกัดตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.1848 ซึ่งถูกทำให้ทันสมัยมากขึ้นอีกทีในปี ค.ศ. 1895 มีการก่อตั้งระบบธนาคารและยกเลิกการควบคุมอัตราดอกเบี้ย ระบบเก่าที่กีดกันทางการค้าถูกรื้อออก และในปี ค.ศ.1865 รัฐมนตรีการเงินอย่างกริเพนสเตดท์เป็นผู้ทำให้สวีเดนเป็นสมาชิกของสนธิสัญญาการค้าระหว่างฝรั่งเศสและบริเตนใหญ่ซึ่งเป็นสนธิสัญญาด้วยข้อกำหนดของประเทศที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด ซึ่งทำให้ผู้เข้าร่วมแต่ละคนสามารถเข้าถึงตลาดของผู้อื่นเป็นผลสืบเนื่องในการเปิดการค้าขายของยุโรป . อีกหลายประเด็นที่เกิดขึ้นจากการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจก็คือ เสรีภาพในการนับถือศาสนาและการพิมพ์/สื่อสารมวลชนก็ได้เพิ่มขยายมากขึ้น ผู้หญิงมีสิทธิ์ในทรัพย์สินและตนเอง มีสิทธิ์ได้รับการศึกษาและการมีอาชีพ และอื่น ๆ ซึ่งมาพร้อมกับการแพร่กระจายแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตย วัฒนธรรมและเทคโนโลยีภายในประเทศอีกด้วย แต่ยังมีหลายอย่างที่ยังคงมี "การแทรกแซงของรัฐ" ที่ยังคงอยู่เช่น การศึกษาการบังคับสำหรับนักเรียนประถม (mandatory elementary education) การสร้างระบบรางรถไฟแห่งชาติ (national railway system) แต่ทั้งสองอย่างนี้มันก็ได้ถูกอธิบายโดยเสรีนิยมสายกลางที่มองว่ากองทุนรัฐบาลในเรื่องของสินค้าสาธารณะจะเป็นประโยชน์กับทุกคนเช่น การศึกษาขั้นพื้นฐานและรถไฟ ในขณะเดียวกันก็มองว่าการแทรกแซงของรัฐจะเป็นประโยชน์แต่คนกลุ่มเดียวที่คนอื่นไม่เต็มใจจะจ่ายเงินภาษีให้คนกลุ่มนั้น มากไปกว่านั้นพวกสนับสนุนการให้รัฐสร้างรางรถไฟเฉพาะสายหลักเท่านั้น ส่วนสายรองหรือสายในท้องที่ควรจะเป็นของเอกชนดูแลเป็นเจ้าของ . อย่างไรก็ตามความสำเร็จของระบบตลาดเสรีในช่วงเวลานี้เองก็ทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมเก่าและกลุ่มขบวนการเคลื่อนไหวแรงงานยอมรับกับ "Gripenstedt System" (แนวคิดของรัฐมนตรีการเงินที่เป็นหัวคิดเสรีนิยม) ที่เป็นแนวคิดสามารถแสดงให้เห็นว่าใช้ได้และมีประสิทธิภาพ การปฏิรูปนี้ก็กินเวลาไปประมาณเกือบ 100 ปีทำให้เศรษฐกิจสวีเดนร่ำรวยและเหนือชั้นกว่าบางประเทศในยุโรปตามที่กริพเพนสเตดท์ได้คาดการณ์เอาไว้ว่า "สวีเดนมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ ถึงแม้จะเป็นประเทศยากจน" = รัฐสวัสดิการสร้างความรุ่งเรืองให้สวีเดนจริงหรือไม่? = ประเทศสวีเดนไม่ได้เดินตามรอยเท้าประเทศสังคมนิยมหลายประเทศแบบรุนแรง แต่แนวทางของพรรคสังคมประชาธิปไตย (social democrat) ต้องการจะควบคุมธุรกิจขนาดใหญ่ด้วย Employee Funds ซึ่งเป็นแบบแผนจากสหภาพแรงงานในปี ค.ศ.1976 ซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของผลกำไรของบริษัทจะต้องถูกรัฐบาลเก็บภาษีไว้เพื่อนำไปใช้ซื้อหุ้นในบริษัทสวีเดนอีกทีเพื่อเป้าหมายในการโอนบริษัทเหล่านั้นจากมือของเอกชนไปสู่การเป็นเจ้าของร่วม (ควบคุมโดยรัฐผ่านการซื้อหุ้นเอกชนและใช้เงินจากภาษีไปซื้อหุ้น) แต่ทว่าการกระทำนี้ถูกปฏิเสธจากความคิดเห็นของประชาชนและต้องถอยห่างจากแนวทางนี้เนื่องจากกระแสโต้กลับของกลุ่มธุรกิจเองด้วยส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามเมล็ดพันธุ์ทางความคิดแบบสังคมนิยมในปีทศวรรษ 1970s และ 1980s ส่วนใหญ่จะเป็นการควบคุมจากรัฐภายนอกมากกว่าเกิดขึ้นในกระบวนการภายในเศรษฐกิจ อย่างเช่น การควบคุมภายนอกผ่านกฎระเบียบทางเศรษฐกิจ การควบคุมราคา การเพิ่มภาษีเพื่อให้มีการรวมศูนย์ทางเศรษฐกิจ หรือ การทำให้กระบวนการตัดสินใจเศรษฐกิจที่ควรเป็นของปัจเจกกับเจ้าของธุรกิจเอง แต่กลับถูกยึดโดยนักการเมืองและผู้มีอำนาจในรัฐบาล ซึ่งใช่เวลานี้เองทำให้เศรษฐกิจของประเทศสวีเดนมีแนวโน้มที่จะเอียงไปทางสังคมนิยมมากกว่าตลาดเสรีทุนนิยม หากตอบสั้น ๆ ว่าทำให้รุ่งเรืองจริงหรือไม่? คำตอบก็คือ “ไม่อย่างแน่นอน” . กลุ่มสังคมประชาธิปไตยตื่นตระหนกกับการขึ้นมาของกลุ่มสังคมนิยมหัวรุนแรงในปัจจุบันที่เป็นนักเรียนและปัญญาชนในช่วงทศวรรษ 1960s แต่ว่ากลุ่มสังคมประชาธิปไตยมีความพยายามสร้างพันธมิตรกับชนชั้นแรงงาน จึงเป็นเหตุผลให้พรรคสังคมประชาธิปไตยและผองเพื่อนใช้โอกาสตรงนี้ในการเถลิงอำนาจตั้งแต่ปี ค.ศ.1932 เป็นต้นมาแทนที่จะเป็นกลุ่มสังคมนิยมหัวรุนแรงที่เกิดขึ้นภายหลัง รัฐบาลสังคมประชาธิปไตยผลักดันการทำให้เป็นสังคม (socialize) เพื่อเอื้อต่อการบริโภคทางเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ซึ่งตรงนี้้เองมันได้นำไปสู่การขยายขนาดอำนาจรัฐบาลอย่างไม่เคยมีมาก่อนเพียงใช้เวลาแค่ 20 ปี การใช้จ่ายภาครัฐมีมากกว่า 2 เท่าจาก 25.4 ถึง 58.5 ระหว่างปี ค.ศ.1965 และ ค.ศ.1985 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการขยับขยายการให้บริการทางสังคมอย่าง ระบบสาธารณสุข ระบบดูแลผู้สูงอายุ ระบบดูแลเด็กแรกเกิด หรือ ระบบเงินบำนาญและเบี้ยเลี้ยงที่อยู่อาศัย มีการเก็บอัตราภาษีส่วนเพิ่มจากกลุ่มคนงานหรือกรรมกรจากที่เคยน้อยกว่า 40% ในปี ค.ศ.1960 กลายเป็นมากกว่า 60% ในปี ค.ศ.1980 ในขณะที่พนักงานออฟฟิต มนุษย์เงินเดือน ข้าราชการ หรือ ผู้บริหารมีการเก็บภาษีสูงกว่า 70% ส่วนภาษีเงินเดือน (payroll tax) ก็เพิ่มขึ้นจาก 12.5% ในปี ค.ศ.1970 ไปเป็น 36.7% ในปี ค.ศ.1979 ยังรวมไปถึงภาษีที่นักลงทุนจ่ายเมื่อขายสินทรัพย์ได้กำไร (Capital gains tax) จะต้องมีการเก็บแบบอัตราก้าวหน้า (ยิ่งได้กำไรเยอะยิ่งเก็บเยอะ) และภาษีบริษัทที่สูงเกือบ 60% ในปี ค.ศ.1980s ในช่วงเวลาเดียวกันรัฐบาลสังคมประชาธิปไตยก็ยังเพิ่มต้นทุนในการทำธุรกิจและออกกฎระเบียบทางเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขความไม่เท่าเทียมกันอีกด้วย มีการควบคุมราคาที่บังคับให้ธุรกิจจะต้องเข้าสู่การเจรจาต่อรองการเปลี่ยนแปลงราคากับรัฐบาล หมายความว่า แม้แต่การเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อยก็อาจมีปัญหาได้ทันที มันส่งผลให้สกุลเงินของสวีเดนเสื่อมคุณค่าลงเพราะมีการดำเนินการควบคุมการเพิ่มราคาสินค้าและบริการหลายประการ ในปี ค.ศ.1974 รัฐบาลยังออกกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่มีการควบคุมมากมาย ทั้งการกำหนดเหตุผลทางกฎหมายในการเลิกจ้างและกำหนดให้สถานที่ทำงานจำเป็นต้องไล่พนักงานคนก่อนออกเนื่องจากมีความอาวุโสกว่าแล้วให้พนักงานคนใหม่เข้ามาแทนที่ (“คนหลังเข้า คนก่อนออก”) และอื่น ๆ = รัฐสวัสดิการเป็นภาระหนักหนาจนไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในที่สุด = สิ่งที่กล่าวไปข้างต้นนี้นำไปสู่การขยับขยายวิกฤตทางเศรษฐกิจของสวีเดนอย่างมีนัยสำคัญ (a). รัฐบาลสวีเดนมีความพยายามลดค่าเงินและคงค่าเงินเอาไว้คานกับมาร์คเยอรมัน (ค่าเงินขอเยอรมันตะวันตก) กับหน่วยสกุลเงินของยุโรป (ECU) ส่งผลทำให้ในปี ค.ศ.1976 โครนาสวีเดนลดค่าลง 3 เปอร์เซ็นต์ อีกครั้งในเดือนเมษายน ค.ศ.1977 ลง 6 เปอร์เซ็นต์ และในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันเพิ่มขึ้นอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนกันยายน ค.ศ.1981 มีการลดมูลค่าลง 10 เปอร์เซ็นต์ และสุดท้ายคือในปีค.ศ. 1982 หลังจากที่พรรคสังคมประชาธิปไตยกลับมามีอำนาจอีกครั้งมูลค่าของเงินก็ลดลงไปอีกถึงถึง 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสาเหตุหนึ่งในการลดค่าเงินครั้งนี้ไม่ใช่แค่การแข่งขันในกับสกุลเงินอื่นเท่านั้นแต่ยังเป็นเพราะ (i).สหภาพแรงงานเรียกร้องการเพิ่มค่าแรงให้กับแรงงานโดยทันที ซึ่งส่งผลทำให้ค่าของเงินลดลง และ (ii).การเติบโตของเศรษฐกิจระหว่างประเทศช่วงทศวรรษ 1980s ทำให้เกิดการการลดค่าเงินที่สูงมากในปี ค.ศ. 1982 ได้ซ่อนปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการในเศรษฐกิจสวีเดน ซึ่งตรงนี้การแก้ไขปัญหาแบบเคนส์ก็คือการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดเงินเฟ้อและเพิ่มเงินหมุนเวียนมาจ่ายค่าแรงกับแรงงาน แต่กลับกันค่าครองชีพที่สูงขึ้น สหภาพแรงงานก็ย่อมที่จะเรียกร้องไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีสิ้นสุด และ (iii).การลดค่าเงินได้กระตุ้นภาคการส่งออก แต่ก็เป็นเรื่องเอาแน่เอานอนไม่ได้เพราะมันเป็นการบ่อนทำลายการลงทุนระยะยาวและบิดเบือนกลไกราคา แทนที่จะปล่อยให้กลไกตลาดสนับสนุนบริษัทที่มีประสิทธิผลและลงโทษบริษัทที่ไม่มีการแข่งขันทั้งหมด บริษัทส่งออกได้รับการเพิ่มอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ ในขณะที่การลดค่าเงินช่วยปกป้องธุรกิจในประเทศที่ไม่ก่อผลจากการนำเข้า อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งการส่งออกของตลาด OECD ของสวีเดนยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องโดยในทศวรรษ 1970s และ 1990s ลดลงเกือบ 30% . (b).บริษัทเกิดใหม่ในประเทศสวีเดนมีจำนวนน้อยลงและบริษัทที่ยังเหลืออยู่ไม่มีการขยับขยายกิจการมากเท่าที่ควร โดยเฉพาะในปี ค.ศ.1990 เศรษฐกิจสวีเดนไม่ได้สร้างงานสุทธิในภาคเอกชนมาก ซึ่งสวนทางกับประชากรที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้รัฐบาลสวีเดนยังคงการขาดดุลงบประมาณทุก ๆ ปีตั้งแต่ปี ค.ศ.1970 จนถึงปี ค.ศ.1987 และมีจำนวนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจาก 18% ต่อจีดีพีในปี ค.ศ.1970 กระโดดไปมากกว่า 70% ในปีค.ศ.1985; (c).ในปีค.ศ.1973 อิงวาร์ คัมปราด (Ingvar Kamprad) ผู้ก่อตั้งบริษัทเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง IKEA ถอนทุนออกจากสวีเดนและมูลนิธิที่เขาเป็นเจ้าของบริษัทได้ย้ายไปยังเนเธอร์แลนด์ Tetra Pak ก็ได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังสวิตเซอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1981 และเฟรดริก ลุนด์เบิร์ก (Fredrik Lundberg) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของสวีเดนก็เดินทางออกจากประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการและนักลงทุนอีกหลายคนในปี ค.ศ.1985 กลายเป็นว่าสวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเท่าเทียมกันมากที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งเพราะ "คนรวยและเจ้าของกิจการร้านค้าต่าง ๆ ย้ายไปที่อื่นหมด" . และ (d).ช่วงวิกฤตในปีค.ศ. 1990 ถึง ค.ศ.1994 เกิดการประทุจากเหตุผลข้างต้นซึ่งถือเป็นปัญหาในระยะยาวทางเศรษฐกิจของสวีเดนมาเป็นเวลาช้านาน (long-term problem) โดยการเติบโตในปีค.ศ.1990 อยู่ที่ 0.75% ต่อจีดีพี ในปี ค.ศ.1991 อยู่ที่ -1.10% ต่อจีดีพี ในปี ค.ศ.1992 อยู่ที่ -0.94% ต่อจีดีพี และในปี ค.ศ.1993 อยู่ที่ -1.83% ต่อจีดีพี แล้วเริ่มฟื้นตัวจากการปฏิรูปเศรษฐกิจอีกครั้งในปี ค.ศ.1994 อยู่ที่ 3.93% ต่อจีดีพี และถัดมาในปี ค.ศ.1995 อยู่ที่ 3.94% ต่อจีดีพี ซึ่งกระแสการปฏิรูปเศรษฐกิจมีจุดเริ่มต้นมาจาก (i).ประชากรทั่วไปเริ่มตั้งคำถามกับการที่รัฐบาลเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเสรีภาพของตนและมองว่าการที่รัฐบาลมีภาระทางเศรษฐกิจและสังคมที่สูงขึ้นเป็นปัญหาทำให้เศรษฐกิจเอียงไปทางสังคมนิยมมากขึ้น คนเริ่มมีปฏิกริยาต่อต้าน Employee Funds และการแทรกแซงของรัฐอื่น ๆ ผ่านการโอบกอดแนวคิดของตลาดเสรีทุนนิยม (ii).โมเดลทางเศรษฐกิจของสวีเดนนั้นมีปัญหาเพราะการขาดผู้ประกอบการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กลุ่มนักการเมืองของพรรคสังคมประชาธิปไตยก็เริ่มกลับมาขบคิดถึงการเอาชีวิตรอดให้กับระบบรัฐสวัสดิการของตนโดยการดำเนินการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ (economic liberalization) จากการลดกฎระเบียบด้านคมนาคม ยกเลิกการควบคุมปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ยกเลิกการควบคุมเงินตราต่างประเทศ และลดกฎระเบียบเกี่ยวกับการควบคุมราคาและอัตราภาษีลง พร้อมปฏิรูประบบภาษีแบบก้าวหน้าที่เก็บโหด ๆ กลับไปเป็นระบบอัตราภาษีคงที่ และสุดท้าย (iii).วิกฤตทางการเงินในปี 1990-94 เป็นวิกฤตที่สร้างบาดแผลให้กับประเทศอย่างมากจนทำให้เกิดฉันทามติที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจไปเป็นตลาดเสรีอีกครั้งเพื่อทำให้เศรษฐกิจเกิดการเติบโตเหมือนเดิม วิกฤตนี้เองเป็นผลมาจากการสะสมปัญหาในระยะยาวทั้งในส่วนของผลิตภาพการแข่งขันที่ไม่ถูกแก้ไข การเกิดฟองสบู่เป็นผลมาจากนโยบายการเงินแบบหลวมของธนาคารกลาง (loose monetary policy) หลังจากปี ค.ศ.1986 และก่อนหน้านั้นก็มีการแทรกแซงจากรัฐอย่างหม่ำเสมออยู่แล้ว ทั้งจากการขาดดุลงบประมาณ การเสื่อมค่าของเงินและกำลังซื้อ การเพิ่มค่าแรงและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การแบกภาระจากรัฐสวัสดิการเป็นผลทำให้เกิดวิกฤตครั้งนี้ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธนาคารกลางแห่งชาติของสวีเดนในช่วงเวลานั้นต้องตอบโต้โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น 500% เพื่อยับยั้งการขาดดุล การเสื่อมมูลค่าของเงิน อัตราเงินเฟ้อที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั้ง 3 ไตรมาสติดลบ . อย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันนี้เริ่มมีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมาอีกครั้ง มีความพยายามทำให้อัตราภาษีลดลง การพยายามแปรรูปจากกิจการรัฐไปเป็นเอกชน แต่ในขณะเดียวกันก็ผูกระบบรัฐสวัสดิการขนาดใหญ่เอาไว้กับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีทุนนิยม ชื่อเฉพาะของมันได้ว่ามันคือ "capitalist welfare state" มันไม่ใช่ระบบสายกลาง หรือ ทางที่สามแต่อย่างใด แต่เป็นระบบเศรษฐกิจที่เอียงไปทางทุนนิยมมากกว่าการแทรกแซงของรัฐและสังคมนิยมเท่านั้น image
สปอยบทความ 1.รัฐสวัสดิการของสวีเดน (ละเอียด) แต่อาจจะแยกตอน ๆ ต้องดูอ้างอิงก่อน 2.สังฆกรรมนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ กับ fiscal multiplier
วาทกรรม "ถ้าคิดอะไรไม่ได้นอกจากปากท้องก็ไม่ต่างจากสัตว์ที่เขาเลี้ยงไว้ แต่ถ้าเราคิดถึงเรื่องสิทธิ เสรีภาพ เราจะได้เป็นคนเท่ากัน" ถือเป็นความไร้สาระของฝ่ายซ้ายที่สุดท้ายก็เผยหางออกมาเพื่อที่จะยก "ศีลธรรม" ของกลุ่มตนเองให้สูงกว่ากลุ่มคนอื่น ทั้งหมดทั้งมวลมันมาพร้อมกับความหลงตัวเองกับ ความย้อนแย้งในหมู่ขบวนการฝ่ายซ้ายเอง ถ้าคนเรามีความเท่าเทียมกันตั้งแต่เริ่มแรกเริ่ม มันจะไม่มีการเรียกร้องความเท่าเทียมและถ้าคนเราไม่มีความเท่าเทียมกันตั้งแต่แรก มันก็ต้องทำให้คนเรียกร้องความเท่าเทียม ในความเป็นจริงคนเราไม่ได้เท่าเทียมกัน เราเชื่อว่าเราเท่าเทียมกันผ่าน "การอนุญาตของรัฐ" ให้ตรากฎหมายคุ้มครองปัจเจกบุคคลจะรู้จักกันในชื่อ ความเสมอภาคภายใต้กฎหมาย ก็เป็นเพียงการกระทำของรัฐให้เชื่อว่าเราเท่าเทียมกันแล้ว แต่ทว่าธรรมชาติของมนุษย์เรามันไม่เท่าเทียมกัน ไม่มีแบบแผน (ระบบ) เหมือนกัน หรือ มนุษย์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงซึ่งทำให้ความเท่าเทียมตามธรรมชาติเป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้คุณจะทำให้เท่าเทียมในสังคมมนุษย์ได้ก็ต้องใช้กลไกที่มีในสังคมมนุษย์ผ่านกฎหมาย ผ่านรัฐเท่านั้น ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นเพียงวิศวกรรมทางสังคม (กล่าวให้ชัดกว่านั้นก็คือ พยายามดิ้นรนหาทางทำให้ได้ถึงแม้ว่าลึก ๆ แล้วจะทำไม่ได้) เมื่อพิจารณา "เรื่องปากท้อง" ในบริบทของการสร้างความเจริญงอกงาม มันถือเป็นเงื่อนไขสำคัญก่อนเรื่องอื่น ๆ เปรียบได้เหมือนกองทัพต้องเดินด้วยท้อง หรือ การจะเดินทางไกลไปรบหรืออะไรคุณต้องอิ่มท้องก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น ดังนั้น การด้อยค่าเรื่องปากท้องมันก็เท่ากับด้อยค่าเรื่องสำคัญที่สุดในสังคมมนุษย์ แถมแต่ละสังคมที่แตกต่างกันอยู่แล้วมันก็ไม่ได้เกิดจากการมีสิทธิและเสรีภาพเริ่มแรก แนวคิดเหล่านี้มันเพิ่งจะมีมาช่วงที่อารยธรรมมนุษย์มันก้าวหน้า ตรงนี้คนกล่าวอ้างวาทกรรมเขาไม่ได้เข้าใจถึง "ความสำคัญ" ว่าปากท้องสำคัญกว่าสิทธิและเสรีภาพยังไง ผมเชื่อว่าคนเราไม่ได้กินเรื่องพวกนี้เป็นอาหาร (สิทธิและเสรีภาพ) ทุกมื้อ เพราะเราไม่ใช่นักกิจกรรมทางการเมืองครับ เราจะใช้วาทกรรมนี้ปลุกปั่นคนให้นำเงินมาบริจาคเราไม่ได้
ขบวนการฝ่ายซ้ายกับการใช้เหตุผลวิบัติในการสื่อสาร . โดย TheReactionarist . ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านอาจจะเคยผ่านประสบการณ์การเถียงกับฝ่ายซ้ายมาบ้างแล้ว พวกท่านอาจจะได้เคยพบเห็นวิธีการเถียงของพวกมันที่เน้นเรื่องการบิดเบือน, ย้อนแย้ง และ “ความเห็นใจ” เป็นหลักมากเสียกว่าที่จะใช้เหตุผลและหลักการ หนึ่งในเหตุผลที่พวกมันเป็นแบบนั้นก็เพราะว่าผู้เขียนมองว่า (a) หลักการของพวกมันใช้ไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ฉะนั้นการที่พวกมันจะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามด้วยเหตุผลและหลักการจึงเป็นหนึ่งในทางออกเมื่อพวกมันไม่สามารถแถ (เถียง) ได้อีกต่อไป โดยการหลีกเลี่ยงดังกล่าวอาจจะตามมาด้วยการโจมตีบุคคลเรื่องส่วนตัวของฝ่ายตรงข้ามหรือด่าทอโดยใช้ฐานความคิดเพียงแค่ด้านความเห็นใจเป็นหลัก; . (b) พวกมันถูก “ล้างสมอง” จากแนวคิดซ้ายและบวกกับการเมืองไทยที่ได้สร้างความแตกแยกจนเกิดการแบ่งขั้ว (political polarization) อย่างชัดเจนจึงทำให้การพูดคุยเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้รวมไปถึงเทรนทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ทั่วไปที่มองเพียงแค่ว่าเวทีทางการเมืองไทยเป็นเพียงแค่ “การต่อสู้ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย” ในขณะที่ใครก็ตามที่ยืนอยู่นอกเหนือกรอบทางการเมืองดังกล่าว เช่น เพจ อิสรนิยมศึกษา - Libertarian Studies ก็จะถูกตีความว่าเป็นเสื้อเหลือง-สลิ่ม หรือตรงกันข้ามฝ่ายเสื้อเหลือง-สลิ่มก็จะมองว่าเราเป็นเสื้อส้ม-สามกีบ . ในบทความสั้นนี้ทางผู้เขียนกล่าวถึงการใช้เหตุผลวิบัติในการสื่อสารของฝ่ายซ้ายที่พบเห็นได้ทั่วไปบนโลกอินเตอร์เน็ต เราจะเน้นที่ฝ่ายซ้ายมากกว่าตามเหตุผลที่ได้กล่าวไปข้างต้น มันอาจจะไม่เป็นสิ่งที่ฝ่ายซ้ายใช้พวกเดียวแต่อาจจะรวมไปถึงฝ่ายอื่นด้วยเช่นกันแต่ทางเรามองว่าเหตุผลวิบัติเหล่านี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายบนเวทีการเมืองโดยฝ่ายซ้ายในประเทศไทยและต่างประเทศเป็นอย่างมาก . Red herring: การเฮอร์ริ่งแดงหรือ “red herring” คือการหันเหใจความสำคัญของการสื่อสารและการถกเถียงไปที่เรื่องอื่นโดยที่เรื่องดังกล่าวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญกับการสื่อสารหรือการถกเถียง ฝ่ายซ้ายมักจะใช้เหตุผลวิบัติในรูปแบบนี้เพื่อหลีกเลี่ยงถึงปัญหาที่ตามมาของอุดมการณ์และความต้องการของพวกมันบนเวทีการเมือง ยกตัวอย่างเช่น คุณกำลังถกเถียงกับฝ่ายซ้ายอยู่ในเรื่องที่ว่าทำไมประเทศไทยถึงมาจุดนี้ได้ แต่แล้วอยู่ดี ๆ ฝ่ายซ้ายก็โพล่งขึ้นมาว่า “ถ้าการเมืองดีเราจะ...” – ตรงนี้จะเห็นได้ชัดถึงความพยายามที่จะหันเหประเด็นไปเรื่องอื่นให้คุณและผู้ฟังไปเน้นที่ประเด็น “การเมืองดี” แทนหลักการหรือเหตุผลอื่นที่มีน้ำหนักมากกว่า การเฮอร์ริ่งมักจะถูกใช้ร่วมกับ “วาทกรรม” (“rhetoric”) เพื่อจูงใจผู้ฟังในขณะที่ฝ่ายซ้ายมักจะไม่อธิบายเลยว่า “การเมืองดี” ดังกล่าวคืออะไร? นิยามแบบไหน? เป็นในรูปแบบใด? มากไปกว่านั้นนอกเหนือจากการเฮอร์ริ่งแดงแล้ว วาทกรรม “การเมืองดี” เป็นเครื่องมือแบ่งดีร้ายใช้เพื่อสร้างภาพ เพียงเพราะแค่มันใช้วาทกรรม “การเมืองดี” แล้ว คุณและผู้ฟังก็จะต้องยอมจำนนต่อความต้องการ “การเมืองดี” ของมันในขณะที่คุณถูกป้ายสีให้เป็น “การเมืองร้าย” . Ad hominem: การโจมตีตัวบุคคลหรือ “ad hominem” คือเหตุผลวิบัติที่โจมตี ลักษณะ, รูปลักษณ์, แนวคิด, แรงจูงใจ, ความเป็นมา, ประวัติ และ อื่น ๆ ที่นิยามตัวบุคคลแทนที่จะเป็นการถกเถียงที่ตัวประเด็นจริง ๆ เหตุผลวิบัติในรูปแบบนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในโลกอินเตอร์เน็ตเพราะการเข้าถึงที่ง่ายและเป็นแหล่งรวมคนรุ่นใหม่ฝ่ายซ้ายที่ยังคิดถกเถียงและคุยให้ตรงประเด็นไม่ได้อย่างสมบูรณ์หรือกล่าวในภาษาอังกฤษก็คือ “unwise” ทั้งนี้ทางเราก็เคยเห็นคนรุ่นเก่าที่ใช้เหตุผลวิบัตินี้เช่นกันตามเพจข่าวต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น มีคนเสื้อแดงออกมาต้อนรับอดีตนายกท่านนั้นที่กลับไทยมาไม่ว่าจะเหตุใดก็ตาม แต่กลุ่มคนบางกลุ่มโดยเฉพาะที่อ้างตัวว่าเป็น “คนรุ่นใหม่-เสื้อส้ม” ก็ออกมาโจมตีว่า “คนเสื้อแดงโดนจ่ายมา” – ตรงนี้จะเห็นได้ชัดถึงการโจมตีแรงจูงใจของคนเสื้อแดงมากกว่าที่จะถกเถียงถึงประเด็นที่ว่าทำไมคนเสื้อแดงถึงออกมาต้อนรับอดีตนายก เพราะเขายังเป็นคนที่สามารถกู้ประเทศได้จากกระแสฝ่ายซ้ายใหม่? เพราะเขายังเป็นคนที่สามารถสร้างความสงบได้? เพราะเขาสามารถจะช่วยทำให้ประเทศดำเนินต่อไปที่ตรงกันข้ามกับที่พวกมันต้องการแต่ยังเป็นที่ชื่นชอบต่อคนต่างจังหวัด? พวกมันไม่ได้สนคำถามเหล่านี้แต่โจมตีคนเสื้อแดงเพียงง่าย ๆ แค่ว่า “คนเสื้อแดงโดนจ่ายมา” รวมไปถึงอาจจะโจมตีพร้อมความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าคนเสื้อแดงทุกคนต้องการเงินจึงออกมาต้อนรับอดีตนายก ในประเด็นนี้แสดงให้เห็นชัดถึงการมโนภาพของฝ่ายซ้ายที่มองว่าตัวเองมีศีลธรรมและการศึกษาที่สูงกว่าผู้อื่น – ทั้งนี้การโจมตีตัวบุคคลในต่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศตะวันตกมักจะเป็นการโจมตีโดยป้ายสีตรง ๆ อย่างรุนแรง เช่น กล่าวหาว่าบุคคลหนึ่งเป็น “นาซี” หรือ “ฟาสซิสต์” ถ้าบุคคลดังกล่าวไม่ได้เป็นพวกเขาก็ถือว่าผิด หรือถ้าบุคคลดังกล่าวเป็นจริง ๆ แล้วยังไง? บุคคลดังกล่าวก็มีหลักการและเหตุผลที่มีน้ำหนักพอที่จะเถียงได้ (นอกเสียจากจะมองในเชิงฝ่ายซ้ายที่ตีความว่า “ลัทธิฟาสซิสต์” ไม่มีหลักการมาโดยตลอด ทางเราไม่เคยมองว่าเพราะศัตรูเราเป็นซ้าย/คอมมิวนิสต์เราจึงต้องโจมตีเพราะพวกมันเป็นแบบนั้น เราโจมตีที่หลักการและเหตุผลของพวกมัน) . Straw man fallacy: การโจมตีหุ่นฟางหรือ “straw man fallacy” คือเหตุผลวิบัติที่โจมตีเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ได้เสนอ ฝ่ายซ้ายมักจะใช้เหตุผลวิบัตินี้ในการสร้างภาพลวงที่ว่าตนได้โต้แย้งเหตุผลของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์เพื่อทำให้ผู้ฟังคิดว่าตนได้ชนะอีกฝ่ายแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ทางเพจ อิสรนิยมศึกษา - Libertarian Studies ได้อธิบายว่า “แรงงานไม่ได้เป็นผู้สร้างมูลค่า ([l]abor does not create value) แรงงานถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการผลิตสินค้าและบริการก็จริง แต่ “มูลค่าของสินค้า” ขึ้นอยู่กับอรรถประโยชน์ของปัจเจกแต่ละคน” แต่กลับมีบุคคลท่านหนึ่งกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำตามใจ ไปตามจิตวิสัยเสมอไป เพราะงบประมาณคนเราไม่เท่ากัน และจิตวิสัย ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกถึงความ สมเหตุสมผล กับราคาที่ต้องจ่ายเสมอไป” – ในประเด็นนี้เราจะเห็นได้ชัดว่าบุคคลดังกล่าวพยายามที่จะเบี่ยงประเด็นไปที่เรื่อง “งบประมาณ [...] ไม่เท่ากัน” มากกว่าที่จะโจมตีว่าทำไม “อรรถประโยชน์ของปัจเจกแต่ละคน” ถึงไม่ใช่กฎเหล็กของการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ มากไปกว่านั้นบุคคลท่านนั้นยังมองว่า “ความรู้สึก” ที่มีต่อ “งบประมาณ” ไม่เกี่ยวกับ “จิตวิสัย” ในขณะที่ทางเพจได้อธิบายในประเด็นเรื่องนี้ในแง่ของเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน (Austrian School of Economics) มาอยู่หลายครั้งอย่างสม่ำเสมอ . Self-contradiction: ความย้อนแย้งในตัวเอง “self-contradiction” คือเหตุผลวิบัติที่เกิดขึ้นเมื่อประโยคประพจน์ของผู้กล่าวขัดแย้งในตัวมันเองหรือขัดแย้งกับความจริงที่เป็นที่ยอมรับทั้งในด้านประจักษ์นิยม (empiricism) และเหตุผลนิยม (rationalism) ฝ่ายซ้ายมักจะเสนอนโยบายซ้ายของพวกมันออกมาโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกมันกำลังเสนอนั้นย้อนแย้งในตัวมันเอง และถึงทำไปก็ถือว่าเป็น “การแก้ปัญหาด้วยการวนอยู่ที่เดิม” เสียมากกว่าที่จะเป็นการก้าวไปข้างหน้าหรือข้างหลัง ทั้งนี้เหตุผลวิบัติในข้อนี้ถือว่าเป็นแรงผลักดันสำคัญหลักที่ทำให้พวกซ้ายพยายามที่จะเปลี่ยนเทรนของโลกให้ไปทางซ้ายทีละนิดทีละน้อย เมื่อธรรมชาติของจักรวาลและธรรมชาติของมนุษย์ถูกเปลี่ยนเป็นไปเป็นแบบที่พวกซ้ายต้องการความย้อนแย้งก็จะเกิดขึ้นได้ยาก กล่าวคือธรรมชาติอยู่ในมือของพวกมันฉะนั้นความย้อนแย้งจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ทางเพจ อิสรนิยมศึกษา - Libertarian Studies ให้ความเห็นว่าการแข่งขันตามธรรมชาติโดยไร้รัฐเข้ามาแทรกแซงเท่านั้นที่จะเป็นแรงผลักดันทำให้ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น แต่กลับมีบุคคลท่านหนึ่งกล่าวว่า “เอกชนจะแข่งขันกันให้เกิดค่าแรงที่เหมาะสมกับแรงงานก็ต่อเมื่อ มีความสามารถในการแข่งขันเท่ากัน อยู่ในบริบททางสังคม และ/หรือมีมาตรฐานจริยธรรมเดียวกันเท่านั้น” โดยที่หลักฐานของความเป็นจริงทั้งในด้านประจักษ์และเหตุผลนั้นการแข่งขันที่จะทำให้เกิดความเหมาะสมต่อสภาวะสังคมจริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้คนมีความต่างกัน เมื่อธรรมชาติของมนุษย์ยังคงอยู่และถูกแบ่งด้วยความแตกต่างและชนชั้นเท่านั้นที่จะทำให้ “เกิดค่าแรงที่เหมาะสม” ในขณะเดียวกันการทำให้ “อยู่ในบริบททางสังคม และ/หรือมีมาตรฐานจริยธรรมเดียวกันเท่านั้น” โดยใช้อำนาจรัฐในการควบคุมการแข่งขัน “ให้เท่ากัน” รัฐเข้ามาเพื่อบังคับให้ค่าจ้างแรงงาน “เหมาะสม” ซึ่งในความเป็นจริงไม่ได้ “เหมาะสม” แม้แต่น้อยเมื่อปัจเจกในประเทศถูกลดทอนอำนาจในการต่อรองแล้วให้รัฐเข้ามาเป็นนายหน้าโดยที่คำว่า “เหมาะสม” ถูกนิยามโดยรัฐ ฉะนั้นความเหมาะสมจริง ๆ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ในประเด็นนี้จะเห็นได้ชัดว่า “การแข่งขัน [ที่เท่ากัน]” ดังกล่าวของบุคคลท่านนั้นย้อนแย้งในตัวมันเอง “การแข่งขัน” ถูกทำให้ “เท่ากัน” มันจะไม่ใช่ “การแข่งขัน” อีกต่อไป image