"Freedom of Speech มันมาพร้อมกับ Consequence" แม้จะเป็นประโยคที่ผมเข้าใจมันมาในระดับหนึ่งตั้งแต่ตัดสินใจเป็น VTuber และเข้าใจมันมากขึ้นเรื่อย ๆ แถมต้องปรับตัวกับความเข้าใจนี้อยู่นานมากเพราะมันมีบางสิ่งที่ไม่ตรงกับความเข้าใจในวัยเยาว์ของผมเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่าได้ยินประโยคนี้จากไลฟ์ของ Right Shift ล่าสุดแล้วมันก็สะท้อนอะไรบางอย่างของสังคมมนุษย์เหมือนกัน เราอาจต้องทำใจยอมรับว่ามนุษยชาติเราชอบตกม้าตายตรงนี้เสมอจริง ๆ นั่นแหละ โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ที่ผมที่เพิ่งรู้ว่ามันมีดราม่า(และผมมองว่าไร้สาระในระดับหนึ่ง) นั่นก็คืออาการ "กระดกแว่น" ผสมกับอาการ "จูนิเบียว" ของคนบางคนที่ก่อปัญหาให้กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องทั้งกลุ่ม ผมเคยเข้าใจว่าคนจำพวกกระดกแว่น เบียวว่าตัวเองตรัสรู้ชอบแล้วเที่ยวชี้นิ้ว "เอ็ดดูเขต" คนอื่น ฯลฯ มันมีแค่ในโลก Pop Culture ที่โดดเด่นมาก (โดยเฉพาะในบางแฟนด้อม) หรือกับกลุ่มคนบางกลุ่มในแพลตฟอร์มโซเชียลที่โดดเด่นเหมือนกัน (สมมุติว่าชื่อ X แต่ที่อื่นมันก็มีแหละ) แต่ความจริงก็ทำให้เรารู้ว่ามันมีทุกวงการจริง ๆ แฮะ แม้แต่วงการวิชาการหรือสายเทคเองก็มี อันที่จริงมันมีคำอธิบายปรากฎการณ์นี้ในทางวิชาการว่า "ปรากฎการณ์ดันนิง-ครูเกอร์" (Dunning–Kruger effect) ที่เป็นหนึ่งในรูปแบบภาวะความเอนเอียงทางความคิดรูปแบบหนึ่ง และคนเราสามารถเกิดเรื่องแบบนี้ซ้ำ ๆ กับหัวข้อ/เรื่องราวเดียวกันได้เรื่อย ๆ อีกต่างหาก ซึ่งผมมองว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะนี่ก็คือหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้อย่างหนึ่งของมนุษย์...เพียงแค่มันกระทบภาพลักษณ์ในวงกว้างของคอมมูฯ เท่านั้นเอง เอาเถอะ ยังไงมันก็คือธรรมชาติของมนุษย์ มีแต่ต้องทัมใจ(?) เรียนรู้จากเหตุการณ์เหล่านี้ เติบโตขึ้น แล้วตั้งหน้าตั้งตำทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อต่อไป คนที่อาจจะแคร์ภาพหลักของคอมมูฯ ก็อาจหวังลึก ๆ ว่าสักวันการทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของคอมมูฯ ให้ดีขึ้น ส่วนคนที่ปล่อยวางได้แล้วก็ถือว่าคุณ Move On แล้วใช้ชีวิตให้มีคุณค่าต่อไป ปล. ทั้งหมดนี้คตือการบ่นเพื่อตกตะกอนความคิดตัวเองครับ ไม่มีอะไร 5555555 #siamstr

Replies (2)

เห็นแล้วนึกถึงสมัยตื่นรู้บิตคอยใหม่ๆ 5555 แต่สมัยนี้พยายามเรียกตัวเองว่านักพนัน degen แทนละ เพราะทำตกน้ำหมดละ
ผมเคยเป็นคนกระดกแว่นก็พอเข้าใจพวกเขานะ แต่ยิ่งโตก็ยิ่งเข้าใจมากกว่าเดิม ว่าอย่าหาทำ !!