maiakee's avatar
maiakee 1 month ago
image 🪷 ทำไม “สัตบุรุษ” จึงมองกันเองออก แต่ “อสัตบุรุษ” มองไม่ออก บทความเชิงลึก อิงพุทธวจน ในพระพุทธธรรม คำว่า สัตบุรุษ (Sappurisa) หมายถึง “คนดีโดยสภาวะ คนจริง คนซื่อตรง ผู้มีธรรมในใจ” ส่วน อสัตบุรุษ (Asappurisa) คือ “ผู้ไม่เป็นคนดี ผิดเพี้ยนจากธรรม ขาดความตรง ขาดสติและโยนิโสมนสิการ” พระพุทธองค์ทรงอธิบายความแตกต่างของสัตบุรุษและอสัตบุรุษไว้อย่างชัดเจนในหลายพระสูตร เช่น • สัตบุรุษสูตร (องฺ. สตฺตก. ๗/๕๒) • อสัตบุรุษสูตร (องฺ. สตฺตก. ๗/๕๓) • คำอธิบายใน สัปปุริสธรรม ๗ • และหลักกรรม–เจตนาในพระไตรปิฎกจำนวนมาก บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดว่า เหตุใดสัตบุรุษจึง “มองรู้กันเอง” ได้ แต่คนพาล–อสัตบุรุษ “ไม่รู้ตัวเอง และดูผู้อื่นไม่ออก” โดยอิงพุทธวจนอย่างเคร่งครัด ⸻ ๑. พื้นฐานของการ “มองออก” อยู่ที่ความบริสุทธิ์แห่งเจตนา พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า: “เจตนาหัง ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” (ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนาเป็นตัวกรรม) — องฺ.นิ. ๖/๒๕๖ สัตบุรุษสร้างกรรมด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เมตตา ไม่แฝงเล่ห์ อสัตบุรุษมีเจตนาเศร้าหมอง แฝงการเอาเปรียบ ปรุงแต่ง ไม่ซื่อตรง เมื่อเจตนาต่างกัน การมองโลกก็ต่างกัน • ผู้มีใจใส ย่อมเห็นความใสในผู้อื่นได้ • ผู้มีใจขุ่น ย่อมเห็นแต่ความขุ่น แม้ในคนที่บริสุทธิ์ ดั่งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า: “ผู้มีจิตโทสะ ย่อมเห็นผู้คนว่าเป็นปฏิปักษ์” ดังนั้นสัตบุรุษจึง “มองคนออก” เพราะใจไม่บิดเบือน แต่อสัตบุรุษ “มองไม่ออก” เพราะใจบิดเบือนตัวเองก่อน ⸻ ๒. สัตบุรุษมี “สัปปุริสธรรม ๗” เป็นเครื่องรู้คน สัปปุริสธรรม ๗ คือธรรมที่ทำให้เป็นคนดี และทำให้รู้จักคนดีได้ชัด พระไตรปิฎกกล่าวว่า สัตบุรุษประกอบด้วยธรรมเหล่านี้: 1. รู้เหตุ (ธมฺมญฺญุตา) 2. รู้ผล (อตฺถญฺญุตา) 3. รู้ตน (อตฺตญฺญุตา) 4. รู้ประมาณ (มตฺตญฺญุตา) 5. รู้กาล (กาลญฺญุตา) 6. รู้ชุมชน/สังคม (ปริสญฺญุตา) 7. รู้บุคคล (ปุคคลญฺญุตา) ข้อที่ ๗ คือหัวใจ: รู้บุคคลว่าเป็นอย่างไร สัตบุรุษสามารถ “อ่านใจคนได้ตรงตามจริง” เพราะมีหลักธรรมรองรับ ตรงกันข้าม อสัตบุรุษไม่ประกอบด้วยธรรม ๗ นี้ แม้แต่ “รู้ตน” ยังไม่รู้จริง จึง อ่านใจคนอื่นยิ่งไม่ได้ ⸻ ๓. “สัตบุรุษรู้สัตบุรุษ อสัตบุรุษรู้สัตบุรุษไม่ได้” — พระพุทธวจน พระพุทธองค์ตรัสใน องฺ. จตุกฺก. ๔/๑๐๐ ว่า “สัตบุรุษ พึงรู้สัตบุรุษ อสัตบุรุษพึงรู้สัตบุรุษไม่ได้” เหตุผลคือ: ✔ สัตบุรุษมีความจริงเป็นราก ผู้จริงย่อมรู้ผู้จริง เพราะธรรมชาติเดียวกันย่อมรับรู้กัน เหมือนเสียงสัททรีดกับเสียงเครื่องสายชนิดเดียวกัน “สั่นรับกันได้” ✔ อสัตบุรุษมีความหลอกเป็นนิสัย ผู้หลอกตนเอง ย่อมเห็นผู้อื่นผิดเพี้ยนตามใจที่บิดเบือน ดังที่พระองค์ตรัสว่า: “ความคิดของคนพาลมีความคดเป็นธรรมดา” — ขุ.ธ. ๑/๓๕ ดังนั้นคนพาล “เห็นความคดเป็นความตรง” และ “เห็นความตรงเป็นความพลาด” จึงมองสัตบุรุษไม่ออก ⸻ ๔. จิตที่สะอาด–มืด คือเครื่องกำหนดการรับรู้ พระพุทธเจ้าตรัสใน อังคุตตรนิกาย ว่า: “จิตที่เศร้าหมอง ย่อมเห็นสิ่งเศร้าหมอง” “จิตที่ผ่องใส ย่อมเห็นสิ่งผ่องใส” เพราะการมองคน ไม่ได้เกิดจากตา แต่อาศัย “วิญญาณ” ที่รับรู้ผ่านความโน้มเอียงของจิต สัตบุรุษ • จิตตั้งมั่น • ไม่ถูกโลภะ–โทสะ–โมหะบัง • จึงเห็นคนชัด เห็นเหตุ และรู้ผลที่จะตามมา อสัตบุรุษ • จิตฟุ้งซ่าน • อยากได้ อยากเด่น อยากเอาชนะ • จึงตีความทุกอย่างผิดไปตามกิเลส เหมือนน้ำใสสะท้อนภาพได้ชัด แต่น้ำขุ่นสะท้อนภาพบิดเบี้ยวเสมอ ⸻ ๕. สัตบุรุษเข้าใจ “เหตุ” และ “เจตนา” พระพุทธเจ้าตรัสว่า: “สัตบุรุษย่อมพิจารณาเหตุและเจตนาก่อนลงความเห็น” — องฺ.ติก. ๓/๓๕ สัตบุรุษจึงไม่ตัดสินคนจาก • หน้าตา • คำพูด • การแสดงภายนอก แต่ดู “เหตุ” คือดูต้นทางของการกระทำ ดูว่าเขา “มาด้วยอะไร” อสัตบุรุษกลับตัดสินคนจาก • ความโลภของตน • ความกลัวของตน • ความผิดของตนในอดีต • การคาดเดา จึงเห็นผิดเสมอ ⸻ ๖. อสัตบุรุษถูก “อัตตา” บังตา กิเลสที่ใหญ่ที่สุดซึ่งทำให้มนุษย์มองใครไม่ออก คือ อัตตาตัวตน พระพุทธองค์ตรัสว่า: “อัตตาย่อมปิดบังผู้มีปัญญาทราม” — ขุ.ธ. ๑/๘๕ อสัตบุรุษมองไม่ออก เพราะเขามองผ่านม่าน • ความอยากให้คนอื่นชม • ความกลัวถูกเปิดโปง • ความอิจฉา • ความไม่มั่นคง • ความยึดมั่นในตัวตน จึงมองคน “ตามความต้องการของตนเอง” ไม่ใช่ตามความจริง สัตบุรุษมีอัตตาน้อยกว่า จึง “เห็นตามที่มันเป็น” ⸻ ๗. สัตบุรุษมีศีล–สติ–ปัญญาเป็นเครื่องส่อง พระไตรปิฎกกล่าวว่าคนดีมีคุณสมบัติ ๓ ประการเป็นเหมือน “ไฟฉาย” ทำให้เห็นความจริงของผู้อื่น 1. ศีล — ทำให้ไม่ถูกความผิดบังใจ 2. สติ — ทำให้รู้ทันกิเลส ไม่ลำเอียง 3. ปัญญา — ทำให้เข้าใจเหตุ–ผลอย่างทะลุปรุโปร่ง อสัตบุรุษขาดทั้งสาม จึงไม่มีไฟส่อง เห็นแต่ความมืดของตัวเอง ⸻ ๘. การมองกันออก คือการตามรอย “ความจริง” สัตบุรุษมีรอยเท้าคือ ความซื่อตรง อสัตบุรุษมีรอยเท้าคือ ความหลอกลวง ผู้เดินด้วยความซื่อตรง ย่อมรู้กลิ่นของความซื่อตรง ผู้เดินด้วยความหลอก ย่อมรู้แต่แบบของความหลอก จึงตามรอยสัตบุรุษไม่เจอ ดังที่พระองค์ตรัสว่า: “สัตบุรุษย่อมรู้สัตบุรุษเพราะธรรมอันเสมอกัน” “อสัตบุรุษไม่อาจรู้สัตบุรุษ เพราะดำรงอยู่ในธรรมคนพาล” ⸻ ๙. ทำไมสัตบุรุษดูอสัตบุรุษออกด้วย? ไม่เพียงสัตบุรุษรู้สัตบุรุษเท่านั้น แต่ยังรู้คนพาลได้ชัดเจนด้วย เพราะพระองค์ตรัสว่า: “คนดีรู้ความชั่ว เพราะเคยละความชั่วมาแล้ว” สัตบุรุษรู้กิเลส เพราะเรียนรู้กิเลสในใจของตนเอง รู้การหลอกลวง เพราะเคยเห็นหลอกลวงในตัว รู้วิธีที่คนพาลคิด เพราะเคยผ่านมันมา แล้ววางมันเสีย อสัตบุรุษกลับไม่เคยรู้จักความดีจริง จึงมองคนดีไม่ออก ⸻ สรุป: ทำไมสัตบุรุษมองกันเองออก แต่อสัตบุรุษมองไม่ออก ✔ เพราะสัตบุรุษมีใจใส อสัตบุรุษมีใจขุ่น ✔ เพราะสัตบุรุษมีสัปปุริสธรรม ๗ เป็นเครื่องรู้คน ✔ เพราะสัตบุรุษละกิเลสได้ จึงรู้รูปแบบของกิเลส ✔ เพราะสัตบุรุษมีศีล–สติ–ปัญญาเป็นไฟส่อง ✔ เพราะสัตบุรุษไม่มีอัตตาบังตา ✔ เพราะสัตบุรุษเห็นเหตุ–เจตนา ส่วนอสัตบุรุษเห็นแต่ผิวเผิน ✔ เพราะธรรมชาติภายในเป็นตัวสะท้อนการมองโลก ดังนั้น สัตบุรุษรู้จักสัตบุรุษ เพราะเดินธรรมสายเดียวกัน ส่วน อสัตบุรุษไม่รู้จักสัตบุรุษ เพราะเดินคนละโลกของธรรม #Siamstr #nostr #ธรรมะ #พุทธวจน

Replies (1)