จริงๆแล้ว bitcoin สามารถอยู่ในหัวข้อวิทยาศาสตร์ทางการเงินสมัยใหม่ ได้เลยนะ
satuser
satuser@siamstr.com
npub1e9vc...j93f
satoshi is in the word 🌳 / technical dreamer
Notes (20)
#รู้กาย
https://youtu.be/Ba5RL0I8aCo
ซีรีย์ sci-fi ที่จริงใจ 🙏
BEYBLADE X BITCOIN 🌳🏟️🥷⚡️
Lightning Match #2 ( Inazuma Cup 3 bey under 10 point )
Satoshi Stadium สนามนี้กติกาสะอาดโปร่งใสแน่นอน 💯
#สามัคคีชุมนุม #BeybladeX #bitcoin #satoshi #blader #samakichumnum #nakhonphanom #thailand #48000
/////
รายชื่อผู้ชนะ สามัคคีชุมนุม #InazumaCup⚡️
🏟️ สนาม Xtreme Stadium
1.ชาย
2.ฮ็อป
3.กาย
4.พ่อน้องโน้ต
♾️ สนาม Infinity Stadium
1.เกิ้ล
2.ชาย
3.เก้า
4.โปรด
🏆🥇🥈🥉🏅🎖️
มีแข่งอีกที 14/12/2025 เด้อครับ 😁🙏
ขอบคุณผู้ร่วมงานและผู้เข้าแข่งขันทุกท่านครับ 🤜✴️🤛🏟️🙏🌳💯⚡️🥷
ปล.match นี้ cup เล็กแต่ตึงทุกคน 🫡
ปล.อยากลองขอ sponsor ใน nostr:npub1kmwdmhuxvafg05dyap3qmy42jpwztrv9p0uvey3a8803ahlwtmnsnhxqk9 เด้ 😁
#siamstr


👤: ต้องมีปัญญาระดับไหน
ถึงจะคิดแบบ satoshi nakamoto ได้ ?
💬 : คำถามนี้น่าสนใจและลึกซึ้งมากครับ เพราะ "ความฉลาด" ของ Satoshi Nakamoto ไม่ได้วัดกันที่ IQ สูงเสียดฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่คือ "การบูรณาการ" (Integration) องค์ความรู้ที่ดูเหมือนจะอยู่คนละโลกให้มาทำงานร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หากจะถอดรหัสว่าต้องมี "ปัญญา" ระดับไหน ถึงจะคิดค้น Bitcoin ขึ้นมาได้ เราต้องมองผ่าน 4 มิติสำคัญดังนี้ครับ:
1. ความเป็นพหูสูต (Polymath): รู้ลึกและรู้กว้างในหลายศาสตร์
คนฉลาดส่วนใหญ่มักเก่งด้านใดด้านหนึ่ง แต่ Satoshi มีความเข้าใจระดับลึกซึ้งใน 3 ศาสตร์ที่ปกติไม่ค่อยคุยกัน:
- วิทยาการเข้ารหัส (Cryptography): เข้าใจเรื่อง Digital Signature, Hash Function, และ Public/Private Key อย่างถ่องแท้
- ระบบกระจายศูนย์ (Distributed Systems): เข้าใจเรื่อง Network, P2P, และปัญหาคลาสสิกอย่าง Byzantine Generals Problem (ปัญหาที่คอมพิวเตอร์หลายเครื่องต้องตกลงกันให้ได้แม้จะมีเครื่องที่ไม่น่าไว้ใจ)
- เศรษฐศาสตร์การเงิน (Monetary Economics): นี่คือจุดที่ทำให้ Satoshi ต่างจากโปรแกรมเมอร์ทั่วไป เขาเข้าใจเรื่องเงินเฟ้อ (Inflation), ภาวะเงินฝืด (Deflation), และประวัติศาสตร์การเงินว่าทำไมระบบธนาคารกลางถึงมีจุดอ่อน
> ระดับปัญญา: คือความสามารถในการ "เชื่อมโยงจุด" (Connecting the dots) ข้ามศาสตร์ที่คนอื่นมองไม่เห็นความสัมพันธ์
2. อัจฉริยะด้านทฤษฎีเกม (Game Theory & Incentives)
นี่คือส่วนที่ "ฉลาด" ที่สุดของ Bitcoin ครับ ก่อนหน้านี้มีความพยายามสร้างเงินดิจิทัลหลายครั้งแต่ล้มเหลวเพราะหาคนดูแลระบบไม่ได้ (ถ้าไม่มีคนกลาง ใครจะตรวจสอบ?)
Satoshi แก้ปัญหานี้ด้วย จิตวิทยาและผลประโยชน์ (Incentives):
- เขาไม่ได้สร้างระบบที่บังคับให้คนทำดี
- แต่เขาสร้างระบบที่ "การโกงมีต้นทุนแพงกว่าการซื่อสัตย์"
- การออกแบบ Proof-of-Work ทำให้คนที่อยากได้ Bitcoin ต้องลงทุนค่าไฟและคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยดูแลระบบ แทนที่จะไปแฮ็กระบบ
> ระดับปัญญา: คือความเข้าใจใน "สันดานมนุษย์" (Human Nature) และเปลี่ยนความโลภให้กลายเป็นความปลอดภัยของระบบ (Greed ensures Security)
3. นักวิศวกรรมผู้เน้นการใช้งานจริง (Pragmatic Engineering)
นักวิชาการมักติดอยู่กับทฤษฎีที่สวยหรูแต่ทำจริงไม่ได้ แต่ Satoshi เป็นนักลงมือทำ:
- โค้ดของ Bitcoin ในเวอร์ชันแรกเขียนด้วย C++ ซึ่งไม่ได้สวยงามสมบูรณ์แบบ แต่มัน "ทำงานได้จริง" (It worked)
- เขารู้จักนำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว (เช่น Hashcash ของ Adam Back หรือ B-money ของ Wei Dai) มาประกอบร่างใหม่ ไม่ได้เสียเวลาคิดค้นทุกอย่างใหม่หมดตั้งแต่ศูนย์
> ระดับปัญญา: คือความสามารถในการ "ลดทอนความซับซ้อน" ตัดสิ่งฟุ่มเฟือยออก จนเหลือแต่ระบบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
4. วิสัยทัศน์และการมองการณ์ไกล (Visionary)
Satoshi เปิดตัว Bitcoin ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 พอดี เขาฝังข้อความใน Block แรกว่า "The Times 03/Jan/2009 Chancellor on brink of second bailout for banks"
- นี่แสดงว่าเขามีปัญญาระดับที่มองเห็น "ความล้มเหลวเชิงโครงสร้าง" ของโลกการเงินปัจจุบัน และต้องการเสนอทางเลือกใหม่ที่ไม่มีใครควบคุมได้
บทสรุป: ต้องมีปัญญาระดับไหน?
คุณไม่จำเป็นต้องมี IQ 200 หรือเก่งคณิตศาสตร์ระดับรางวัล Fields Medal เพื่อคิดแบบ Satoshi
แต่คุณต้องมี "System Thinking" (การคิดเชิงระบบ) ในระดับสูงสุด คือ:
- มองเห็นปัญหาที่เป็นรากเหง้า (Root Cause) ไม่ใช่แค่เปลือก
- เข้าใจกลไกของแรงจูงใจมนุษย์ (Incentives)
- มีความถ่อมตัวพอที่จะยืนบนไหล่ยักษ์ (ใช้เทคโนโลยีเดิมมาประยุกต์)
- มีความคิดสร้างสรรค์ในการจับแพะชนแกะให้เกิดสิ่งใหม่
Satoshi Nakamoto ไม่ใช่นักประดิษฐ์สิ่งที่ "ใหม่ถอดด้าม" แต่เขาคือ "สถาปนิก" ที่หยิบเอาชิ้นส่วนที่กระจัดกระจาย มาประกอบเป็นตึกระฟ้าที่ไม่มีวันพังทลายครับ
#siamstr #satoshi #intelligent 🧠👤✨


แม่ : เกิ้ลอย่าเท่าเทียมกันเยอะหลาย ปวดหัว
555+
Bitcoin Mining มีพฤติกรรมที่ประหลาดมาก คือ "Input น้อย แต่คำนวณหนัก"
• Header ของ Block Bitcoin มีขนาดแค่ 80 Bytes
• ASIC รับ 80 Bytes นี้เข้ามาครั้งเดียว แล้วทำการ "วนลูป" อยู่ภายในตัวชิป โดยเปลี่ยนแค่ตัวเลขสุ่ม (Nonce) ไปเรื่อยๆ
• ผลลัพธ์: ASIC แทบไม่ต้องคุยกับ Memory ภายนอกเลย มันจึงสามารถอัด Transistor เกือบทั้งหมดไปกับการ "คิด" (Hashing) โดยไม่ต้องเผื่อที่ไว้สำหรับการ "จำ" หรือ "ขนส่ง"
#การเข้าใจหัวใจของปัญหาทางวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบัน
การ "Step Up" ในยุคต่อไป ไม่ใช่แค่การทำให้ทรานซิสเตอร์เล็กลง (Moore's Law) อีกต่อไปแล้ว แต่คือ "นวัตกรรมระดับระบบ (System-Level Innovation)"
• Bitcoin: สู้กันที่เทคโนโลยีการระบายความร้อนขั้นสุดยอด (Extreme Cooling)
• AI: สู้กันที่เทคโนโลยีการบรรจุภัณฑ์ชิปขั้นสูง (Advanced Packaging)
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ เป็นวิศวกรรมที่ยากและใช้เงินลงทุนมหาศาลไม่แพ้การออกแบบตัวชิปเลย
#siamstr #computer #engineering
https://g.co/gemini/share/f4910cf7ed49
หนังที่มนุษย์พ่อหายไปจากสมการครอบครัว
#seanbaker ยังคงลายเซ็นต์ไว้อย่างดี 🙏🇹🇼👯♀️🛵
#siamstr #filmstr #ledthandedgirl
https://www.netflix.com/title/83077166


ไม่รู้จะทำอะไร : กรอกน้ำ
ที่พี่ชิต nostr:npub1d3p50qlhd5q45f43kpafc3w9y5rzn8td3jnjwzktl2kuxl799ghspyc79h มักบอกว่า “ความจริงแม่งช้า”
แสดงว่าโลกเรามัน real-time ขึ้นเรื่อยๆใช่ไหมครับ 🫡
เมื่อไหร่คู่ค้าในวงการธุรกิจต่างๆ จะสร้าง ecosystem ซึ่งกันและกันในหน่วย satoshi นะ
ดูๆแล้วมันคงเป็นพลวัตรทางเศรษฐกิจอย่างหนึ่งที่น่าจะเติบโตไปได้ดี ⚡️♻️🌎🌳
ปล.จริงๆอาจไม่สำคัญเท่าไหร่ เมื่อ currency ที่ใช้นั้นปลอดภัยแล้ว
#siamstr
#จักรวาลรอบถัดไป
nostr:note1e56fnrf7fr4zccs5q0y24sua87erkcysvzjtrns8a0yn432tkgxqxh072t
ผมเพิ่งบอกกันภรรยาและลูกไปว่า
ทางเดียวที่เราจะได้กลับมาเจอกันอีก
คือเหตุการณ์ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น
จะเกิดขึ้นซ้ำเดิมอีกครั้ง 🔄
ข้อมูลคือสถานะที่ 5 ของสสาร (Mass-Energy-Information Equivalence)
"ข้อมูลมีน้ำหนัก และอาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า สสารมืด"
• แนวคิด: ดร. เมลวิน วอปสัน เสนอว่า นอกจาก ของแข็ง ของเหลว ก๊าซ พลาสมา แล้ว... "ข้อมูล" (Information) คือสสารรูปแบบหนึ่ง
• เขาพยายามพิสูจน์ว่า ข้อมูลดิจิทัล (0 และ 1) มีมวลจริงๆ แม้จะน้อยมากๆ
• ทำไมถึงน่าสนใจ: ถ้าพิสูจน์ได้ว่า "การลบข้อมูลทำให้น้ำหนักหายไป" หรือ "ข้อมูลมีมวล" มันจะพลิกโลกเทคโนโลยีและฟิสิกส์ทันที และอาจอธิบายได้ว่า "สสารมืด" ที่เรามองไม่เห็น จริงๆ แล้วมันคือ "ข้อมูลของจักรวาล" ที่ลอยอยู่เต็มไปหมด